วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หลักของการลงทุน

ในหลักของการลงทุนในธุรกิจหรือซื้อหุ้นเน้นคุณค่านั้น เราย่อมหวังผลในตัวกิจการซึ่งราคาย่อมสะท้อนจากผลกำไรที่บริษทัสามารถขายสินค้าและบริการได้ จากที่ผมลงทุนในตลาดหุ้นมา 7 ปี ก็ย่อมเจอทั้งบริษัทที่ดีให้ผลตอบแทนที่ดี และบริษัทที่ไม่ดีและมีหนี้สินมากมาย บริษัทที่ดีหากถามใครๆก็บอกว่ามันดี ดีเหลือเกินซื้อไปเถอะ นั้นก็เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่บอกว่าคุณซื้อหุ้นแพงถึงแม้บริษัทจะดีมากแค่ไหนก็ตาม อาทิเช่น หุ้นขนาดใหญ่ไม่มีใครเถียงหรอกครับว่าหุ้น ADVANC ผู้ให้บริการระบบเครือข่ายอย่าง AIS นั้นห่วยแตก เช่นเดียวกันหุ้น PTT บริษัทที่มีรากฐานจากกิจการพลังงานมันก็ไม่ใช่บริษัทห่วยแตก แต่หุ้นทั้ง 2 ตัวนี้คือหุ้นที่ทุกคนรับรู้ไปหมดแล้ว ลองไปถามคนไม่เล่นหุ้นเขายังตอบคุณได้เลยว่า PTT ADVANC KBANK หุ้นเหล่านี้คือผู้นำ และที่สำคัญที่มีคนรับรู้ตลาดรู้จักแล้วมันย่อมเป็นหุ้นที่โตช้า มันจะเติบโตได้แต่ก็เติบโตไปอย่างช้าๆ หรือบางทีก็ไม่เติบโตเล็กน้อย นั่นคือมันไม่เหมาะที่จะเป็นหุ้นที่จะลงทุนระยะยาวอีกต่อไปแล้วหากเป็นเมื่อ 10-20 ปีแล้วผมก็คงจะชอบหุ้นแบบนี้แต่ตอนนี้หุ้นเหล่านี้มีไว้เพื่อเก็งกำไร รวมถึงหุ้นเหล่านี้อาศัยกระแสเม็ดเงินจาก Fund flow ดังนั้นหากจะถามถึงมุมมองระยะยาวๆ ผมจะตอบว่ามันคือบริษัทดีที่มีความแข็งแกร่งในแง่ของกิจการ แต่มันเป็นผู้ชนะที่ทุกคนรับรู้กันหมดแล้ว มันอาจจะเติบโตได้แต่สำหรับผม มันไม่มีความคุ้มค่าใดๆหากผมจะยอมเสียเวลาสัก 10 ปี เพื่อถือหุ้นเหล่านี้ผมมีความคิดเห็นว่าการเทรดเก็งกำไรในหุ้นเหล่านี้มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพมากกว่า ผมทำกำไรในหุ้นลักษณะนี้ต่อปีโดยประมาณจะได้ผลตอบแทนจากการเทรดที่ 1-2 ล้านบาท ดังนั้นหุ้นเหล่านี้คือหุ้นที่สร้างพอร์ตเก็งกำไรให้ผมหากเรารู้วิธีเล่น เราก็มีโอกาสได้กำไรมากกว่าขาดทุนครับ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือในตลาดหุ้นจะมีหุ้นที่บริษัทดีแต่งบกำไรดีแต่ขาดสภาพคล่องในเงินสด แบบนี้ก็เหมือนพระเอกขี่ม้าขาวพอตอนจบก็ตกม้าตาย ที่ผ่านมามีหลายบริษัทที่ถือได้ว่าเป็นดาวรุ่ง แต่สุดท้ายกลับเป็นรุ่งริ่ง เพราะ บริษัทขยายตัวเร็วเกินไปและเงินสดหมุนเวียนน้อย สุดท้ายแล้วมันก้เหมือน คุณขับ benz e-class แต่น้ำมันหมดกลางทาง สุดท้ายหุ้นเหล่านี้ก็ผันตัวกลับกลายมาเป็นหุ้นที่มีปัญหา แล้วก็จะจบลงที่กลายเป็นหุ้นปั่นทำราคา หากคุณไม่สามารถที่จะคาดการณ์ได้ว่ากิจการที่สนใจนั้นในอนาคตจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยๆเราก็สามารถที่จะมองหาว่าบริษัทนั้นๆมีแผนดำเนินงานอย่างไรในอนาคตที่จะหาวิธีการเพิ่มกำไร ซึ่งเราก็ต้องติดตามนโยบายและแผนงานนั้นๆ อย่างเป็นระยะๆครับ ส่วนใหญ่จากประสบการณ์ผมจะเห็นวิธีการที่บริษัทจะเพิ่มกำไรได้นั้นจะมีอยู่ 6 วิธีการดังนี้
1.ขยายตัวเข้าสู่ตลาดใหม่
2.ขายสินค้าให้มากขึ้นในกลุ่มลูกค้าและตลาดเดิม
3.ลดต้นทุน
4.ขึ้นราคาสินค้า
5.ขายกิจการที่ขาดทุนทิ้งไปหรือฟื้นฟูให้มันดีขึ้น
6.เปลี่ยนรูปแบบกิจการไปทำกิจการที่มีอนาคตกว่า
ดังนั้นหากบริษัทจะเพิ่มกำไรหรือแก้ไขปัญหาภายในก็จะต้องมีแผนงานดังที่ผมกล่าวมาในมือครับหุ้นหลายตัวเปลี่ยนกิจการไปทำรูปแบบใหม่แล้วดีขึ้นเช่น ifec และนั่นก็คือสาเหตุที่ผมซื้อมันตอนราคา 3-3.5 บาท เมื่อมีแผนงานที่ดีมี trend ที่น่าสนใจสิ่งทีน่าสนใจต่อมาคือ กราฟราคามันดีไหม ผมจะมองกราฟไว้หลังสุดหากผมต้องการจะถือหุ้นสักตัวเพื่อหวังการทำกำไรหลายๆเด้ง เพราะกราฟ ฟอร์มตัวทำ W shape ใหญ่และยกตัวทำ dow theory ได้ซึ่งจากการให้ความสนใจใน ifec นี่เองที่ทำให้ผมได้ให้ความสนใจกับหุ้นตัวต่อมานั่นคือหุ้น ea หรือหุ้น s ในปัจจุบันที่ผมทยอยสะสมตั้งแต่ 1 - 2 บาท สิ่งที่จะทำให้บริษัทเติบโตได้คือ ผลกำไร หลายครั้งราคาหุ้นนำผลกำไรของกิจการ เพราะคนให้ความนิยมมากเกินไป สุดท้ายแล้วราคาหุ้นมันย่อมกลับมาสะท้อนตามผลงานของกิจการ เช่นเดียวกัน หากบริษัทจะอยู่ได้บริษัทนั้นก็ต้องมีเงินสดที่หมุนเวียนที่ดีที่พอจะดูแลการขับเคลื่อนผลกำไรของกิจการครับ...
NIKKY AGAPOL CHAMNANPANICH

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

แบ่งหุ้นออกเป็น 6 ลักษณะตามรูปแบบการลงทุน

แบ่งหุ้นออกเป็น 6 ลักษณะตามรูปแบบการลงทุนแบบ Value investor
ก่อนหน้านี้ผมเคยแนะนำในการแบ่งกลุ่มหุ้นในการวิเคราะห์ชาร์ตทางเทคนิคไปแล้วซึ่งมันทำให้เราสามารถวางกลยุทธ์การลงทุนได้ง่ายขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ดีทีเดียวครับ เพราะ หุ้นที่ผมแบ่งทั้งชุด A B C D F นั้นก็คัดแยกจากหุ้นที่มีลักษณะที่แตกต่างกันไปทำให้เราสามารถวิเคราะห์กราฟและดูพฤติกรรมราคาได้ชัดเจนขึ้น รวมถึงสามารถทำให้เรารู้ได้ว่าเรากำลังสู้กับใคร กองทุนสถาบัน นักลงทุนต่างชาติ ป็อปเทรด หรือ รายย่อยเจ้ามือ ด้วยกันเอง ต่อมาผมอยากจะแนะนำในส่วนการพิจารณาหุ้นในส่วนของการวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งเป็นวิธีการที่ผมยึดมั่นและใช้ในการพิจารณาในการลงทุนแบบ Value investor มาตลอดครับ ซึ่งวิธีการนี้เป็นวิธีการและแนวทางของ ปีเตอร์ ลินท์ ผู้จัดการกองทุนของ Fidelity investment ครับ
การแบ่งกลุ่มหุ้นทางปัจจัยพื้นฐานแบ่งออกเป็น 6 ชุดตามลักษณะดังนี้ครับ
1.หุ้นโตช้า (The slow growers)
หุ้นโตช้า คือหุ้นที่เคยเป็นบริษัทขนาดใหญ่และเก่าแก่ แสดงว่าก่อนหน้านี้เคยเป็นหุ้นที่โตเร็วมาก่อนๆที่จะหมดแรง อาจเพราะบริษัทมีความอิ่มตัว หรือมันมาเกินมูลค่ามากจนเกินไปมากแล้วครับ และเมื่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและดดยรวมเริ่มชะลอตัว บริษัทเหล่านี้ก็จะหมดแรงลงเช่นกันครับ ซึ่งหุ้นลักษณะนี้จะเคยเป็นหุ้นที่มีความนิยมมาก่อนและมีทั้งการเข้ามาเก็งกำไรและลงทุนระยะยาวครับ ซึ่งเราสังเกตได้จาก Trend ของตลาดและความต้องการของผู้ใช้บริการ หุ้นโตช้านี้เราสังเกตได้จากหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอครับ และมีกำไรต่อหุ้นที่ไม่ค่อยปรับเพิ่มขึ้นครับ หากเจอลักษณะแบบนี้ ผมจะมองว่าเป็นหุ้นโตช้า ลองมองดูครับว่าก่อนหน้านี้ผู้บริโภคนิยมอุตสาหกรรมใด ย้อนไปหลายปีก่อนๆในอดีตหุ้นคอมพิวเตอร์เป็นหุ้นที่โตไวและนักลงทุนให้ความสนใจมาก ลองมามองในปัจจุบันครับ มันเริ่มช้าลงแล้ว ถ้ามองในประเทศเราก็ไม่ต่างกันหุ้นอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมการเกษตร รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ก็อยู่ในทิศทางที่เติบโตช้า หุ้นจำพวกนี้หนี้สินน้อยและบริษัทมีงบการเงินที่ดี แต่ ! Trend ไม่มีครับ
2.หุ้นโตเร็ว(The fast growers)
บริษัทที่มีขนาดเล็กและมีการเติบโตปีละ 15-25 % ซึ่งเป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยมมากครับ หุ้นลักษณะนี้นี่แหละทำให้ผมได้หลายเด้ง หลายเด้งคือการทำกำไรเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเช่น 10 เด้ง ก็ 10 เท่า สิ่งนึงที่พ่อผมแนะนำเพิ่มเติมมาตลอดและย้ำเสมอคือ หุ้นโตเร็วนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในอุตสาหกรรมที่มี trend ก็ได้ ท่านย้ำเสมอว่าหากจะหากิจการโตเร็ว อย่ามองแค่ตัวกลุ่มหรือ trend ของการบริโภค แค่บริษัทนั้นมีโอกาสเติบโตในอุตสาหกรรมของตัวเองก็พอ เช่นหุ้น A และ B อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่หุ้น A มีการเติบโตปีละ 15-20 % แต่หุ้น B เติบโตเพียง 2-5 % แบบนี้มันก็มีเยอะครับ และผมก็เห็นในตลาดหุ้นไทยยังมีให้เห็น เพียงแค่ตลาดหุ้น และนักวิเคราะห์ยังไม่พบเจอมัน เท่าที่ผมพบเจอและถืออยู่มี 16 ตัวแต่ดูดีสุดแค่ 4 ตัวครับ อีกสิ่งนึงที่ทำให้เราวิเคราะห์กันผิดพลาดก็คือ หุ้นโตเร็วไม่ใช่หุ้นวัฎจักร อย่าเอาหุ้นวัฎจักรไปรวมในกลุ่มนี้ หุ้นที่โตเร็วคือหุ้นที่มีรายได้เพิ่มขึ้น และมีกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นั่นแสดงว่า กำไรเพิ่มขึ้น หนี้สินลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นก็นิดหน่อย ซึ่งเราต้องติดตามจากผลดำเนินงานของบริษัทว่าเพิ่มขึ้นลดลงเพราะสาเหตุอันใดครับ ที่สำคัญหุ้นโตเร็วก็มีความเสี่ยงครับหากบริษัทไม่มีทุนมากพอที่จะดำเนินการขยายตัวดังนั้นหุ้นลักษณะนี้จะมีการเพิ่มทุนบ้าง แต่ไม่ควรบ่อยเกินไป และคุณต้องสังเกตการเพิ่มทุนว่าเพิ่มไปเพื่ออะไร มันดีต่ออนาคตของกิจการ หรือสร้างนี่สินเพิ่มขึ้นกันแน่ครับ ตลาดจะยังไม่พบหุ้นลักษณะนี้จึงทำให้คุณสามารถซื้อมันได้ในราคาที่ไม่เลวร้ายเกินไป จะหาหุ้นแบบนี้หาง่ายๆครับ ลองมองรอบๆตัวเราสิครับ มันมีอะไรที่มันมีแนวโน้มที่คนจะนิยม และเมื่อคนนิยมมากๆ กิจการจะดีมีรายได้เพิ่มขึ้น และเมื่อนั้นตลาดหุ้นและนักวิเคราะห์จะพบมัน และมันก็จะปรับตัวขึ้น คุณก็แค่นั่งยิ้มและเลี้ยงลูกหลานไป ปัญหาคือ หามันเจอหรือยัง ?
3.หุ้นแข็งแกร่ง(The stalwarts)
หากเทียบกับหุ้นที่ผมแบ่งไว้ในทางเทคนิคก็คือ หุ้นชุด A ครับ เช่น ADVANC PTT KBANK SCC หุ้นลักษะณะนี้จะมีกำไรสม่ำเสมอครับ และคนรู้จักกันเรียกว่าเป็นพี่ใหญ่ก็ได้ มี market cap. ขนาดใหญ่ การเติบโตนั้นจะเติบโตกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจบ้างเช่นอาจจะประมาณปีละ 10% โดยเฉลี่ยครับ หุ้นแข็งแกร่งก็คือหุ้นที่แข็งแกร่งสมชื่อ มันไม่เหมาะกับการลงทุน มันเหมาะกับการเทรดเก็งกำไรตามกระแส fund flow เสียมากกว่า โดยส่วนตัวนั้นผมมองหุ้นชุดนี้หรือหุ้นแข็งแกร่งนี้เป็นหุ้นที่มีไว้เพื่อเทรดเสียมากกว่าครับ แต่หากมองในแง่ของ Value investor หุ้นลักษณะนี้เราก็ถือลงทุนได้แต่เมื่อเราได้ผลตอบแทน 30-40 % โดยใช้เวลา 2-3 ปีผมก็มองในแง่ของการขายละครับ เพราะหุ้นลักษณะนี้จะมีการเข้ามาทำราคาโดยนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนต่างชาติก็เข้ามาอย่างน้อยๆก็ปีละครั้ง จะมากกว่านั้นก็มีบ้างในช่วงเศรษฐกิจกำลังไปได้ดี ดังนั้นหุ้นขนาดใหญ่และแข็งแกร่งลงทุนได้ครับ แต่ลงทุนในช่วงที่มันเหมาะแก่การลงทุนเช่น ลงเพราะสาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจ ภาวะ fund flow ไหลออก หรือปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบเพียงระยะเวลาสั้นๆ ครับ
4. หุ้นวัฎจักร(The Cyclicals)
หุ้นวัฎจักรคือหุ้นที่มียอดขาย รายได้และกำไรเพิ่มขึ้นและลดลงสม่ำเสมอครับ และเราแทบจะรู้ได้เลยว่าเมื่อไรจะเกิดรอบของมันเช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมสายการบิน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมเรือเทกอง อุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ จำพวกนี้จะมีรอบของธุรกิจครับ สิ่งที่แตกต่างระหว่างหุ้นโตไวกับหุ้นวัฎจักรคือ หุ้นโตไวนั้นจะมีการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้น และมีการขยายตัวตลอดเวลา แต่หุ้นวัฎจักรจะมีรายได้เพิ่มขึ้นและลดลงตามรอบของธุรกิจ เช่นกลุ่มเรือเราสังเกตจากค่าระวางเรือ กลุ่มท่องเที่ยว และสายการบินก็ต้องพิจารณาจากช่วง high season ที่มีการเข้ามาจับจ่ายและท่องเที่ยวของผู้บริโภคครับ ปีเตอร์ ลินท์แนะนำเสมอว่าจังหวะคือทุกสิ่งของการลงทุนในหุ้นวัฎจักรคุณต้องสังเกตธุรกิจตั้งแต่เนิ่นๆว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น หากคุณทำงานในอาชีพที่เกี่ยวข้องกับ ธุรกิจสายการบิน ธุรกิจยานยนต์ ธุรกิจหลักทรัพย์ จำพวกนี้ก็ทำให้คุณได้เปรียบที่จะรับรู้วัฎจักรของมันครับ
5.หุ้นฟื้นตัว(Turnaround)
บริษัทที่ถูกทุบจนตกต่ำ และรอดจากการล้มละลาย หุ้นเหล่านี้ไม่ใช่หุ้นโตช้า แต่แท้จริงแล้วมันไม่โตเลย หุ้นเหล่านี้กว่าจะเป็นหุ้นฟื้นตัวได้ต้องมีการปรับโครงสร้าง มีการปรับปรุงงานส่วนบริหารและเป็นหุ้นที่บางครั้งอาจจะเปลี่ยนธุรกิจของกิจการไปทำอย่างอื่นแล้วได้ดี ก็ได้ครับ มีหุ้นหลายๆตัวในตลาดหุ้นไทยที่ทำธุรกิจแล้วไปไม่รอด อาจเพราะคู่แข่งเยอะ มีส่วนแบ่งการทางการตลาดมาก และมันคือผู้แพ้ เมื่อบริษัทใกล้ถึงจุดสิ้นสุดได้มีการเข้ามาปรับโครงสร้าง ได้มีคนมองเห็นคุณค่าบางอย่างในตัวผู้แพ้และเข้ามาแก้ไขจนทำให้มันกลับฟื้นคืนมาได้ครับ
6.หุ้นทรัพย์สินมาก(Asset play)
หุ้นทรัพย์สินมากคือหุ้นที่บริษัทมีทรัพย์สินซ่อนเร้นแต่ตลาดยังไม่รับรู้ และยังไม่ให้ความสนใจในตัวมัน โดยเรามองมันจากเงินสดและตัวอสังหาร์ริมทรัพย์ บริษัทบางบริษัทเพียงแค่ขายทรัพย์สินในมือก็สามารถพลิกจากขาดทุนเป็นกำไรได้ทันทีครับ ในตลาดหุ้นมีหุ้นหลายตัวที่ตัวกิจการหลักกลับไม่ทำกำไร แต่มีบริษัทลูกที่อยู่ในเครือข่ายสามารถทำกำไรได้มากกว่า แต่หุ้นกลุ่มนี้ผมจะให้ความสนใจน้อยครับ นอกเสียจากจะมีปัจจัยเสริม เช่น บริษัทขายทีดินที่ไม่จำเป็น หรืออสังหาร์ริมทรัพย์บางอย่างออกไปเพื่อปรับแผนโครงสร้างและนำเงินไปพัฒนากิจการต่อแบบนี้มันจะดูน่าสนใจมาทันที
ทั้งหมดเป็นลักษณะการแบ่งกลุ่มของหุ้นโดยใช้ลักษณะวิธีการของ ปีเตอร์ ลินท์ ซึ่งผมเห็นว่ามันเป็นประโยชน์มากและใช้งานได้ดีครับ ในการลงทุนแบบ Value investor นั้นผมจะพิจารณาจาก Trend และมองสิ่งรอบๆตัวก่อนเสมอครับ หัดสังเกตและคุณจะเห็นโอกาสครับ ดังนั้นการลงทุนแบบ value investor นั้นเพียงแค่คุณมองหาบริษัทดีๆ ช่างสังเกตมองเห็นโอกาสในตัวมันและเข้าร่วมลงทุน โดยค่อยๆซื้อสะสมไป มองหาหุ้นที่ตลาดยังมองข้ามและมีกำไรเติบโตมีโอกาสขยายตัวทางธุรกิจ คุณย่อมประสบผลสำเร็จ มันต่างกับการเทรดเก็งกำไรที่คุณจะประสบความสำเร็จได้คุณต้องใช้เงินต่อเงินเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าในเวลาที่รวดเร็ว ผมไม่ปฎิเสธว่าการเก็งกำไรนั่นต้องใช้เงิน ใช่ครับ ! คุณต้องมีเงิน คงไม่มีใครบอกว่าการเก็งกำไรนั้นใช้เงินแค่ไม่กี่พันก็รวยได้ มันไม่มีหรอกครับ มองหาจริตในตัวเองให้พบและเลือกทำในสิ่งที่เหมาะกับเรา หากคิดว่าคุณสามารถลงทุนและเทรดไปด้วยนั่นคือความโชคดีของคุณเพราะ คุณมีทั้งความขยันที่จะหากิจการและวิเคราะห์งบการเงิน รวมถึงมีความรู้ที่จะสามารถวิเคราะห์และตีความกราฟออกมา แต่คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จครับ เพราะถ้าหากเขาประสบความสำเร็จกันหมด ทุกคนคงเข้ามาลงทุนและเทรดในหุ้น มากกว่านั่งทำงานประจำครับ
Nikky

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

8 วิถี ในการหยุดขาดทุน - 8 Ways to Stop Loss

8 วิถี ในการหยุดขาดทุน - 8 Ways to Stop Loss

        การนำความรู้เทคนิคอล มาใช้ในการซื้อขายหุ้น การมีราคาขายทิ้ง หรือ Stop Loss ในทุกครั้งที่เตรียมตัวจะซื้อหุ้น เป็นเรื่องจำเป็น ที่จะขาดไม่ได้เลย แต่วิธีการกำหนด ว่า ราคาไหน ควรจะใช้เป็น Stop Loss กลับกลายเป็นปัญหาคาใจ ของใครหลายๆ คน ..
        .
        ทำไม จะไม่เป็นปัญหา พอบอกว่า จะซื้อ 20 บาท Stop 19 บาท  ... แล้วก็ซื้อไป 20 บาท ตอนเช้า พอเปิดบ่ายมา ราคาไหลลงมา ที่ 19 บาท เป็น Bid 1 เหมือนจะลองใจกันเลย ว่า ... "เอายังไง ... ตั้งใจแล้วแล้วนี่ จะ Stop ขายทิ้งไหมล่ะ ... หุหุ ...!!! "

       สักพักราคามันก็เขย่า 19.0  ... 19.10 .... 19.20 .... 19.10 ... 19.0 ... ทันใดนั้น .... 18.90 ....
       เฮ้ย !!! หลุดแล้ว ตกใจอ่ะ ....  ขายดีกว่า  ราคาขยับ Bid 1 = 18.80 , Offer 1 = 18.90
       ไม่ไหวแล้ว ขายดีกว่า แต่ไม่ขาย 18.90 หรอกนะ  ตั้งขาย 19.0  ....
       แล้ว ตลาดก็ให้สิทธิ์ นั้นทันที  .... Match 19.0 แล้วราคา ก็ขยับ 19.0 .... 19.10 ..... 19.20 ...  19.30 ... 19.40 ... ขึ้นไป ปิดตลาดที่   19.80  .... เป็นไง ช้ำใจไหมล่ะ  ....

      แล้วคำถาม สุดฮิต ก็ถาโถม เข้ามา .... ทำไม ล่ะ ... ทำไม ...เป็นเยี่ยงนี้ ... กรู ทำอะไร ผิดไปเหรอ ....

     ..   แล้วความคิด ก็แว๊บ เข้ามา .. "ไปถามพี่ปุย WaveRiders ดีกว่า"  ... เข้า ask.fm/WaveRidersPui  ถามเลย ... "... พี่ปุยครับ ... เวลาตั้ง Stop Loss แล้วราคามันลงมาที่ Stop เราต้องรอให้จบวันดูราคาปิดก่อน หรือ ขายเลย ล่ะครับ ... "  

     ... คุณรู้ไหม ถ้าเจอคำถาม แบบนี้ ผมจะตอบยังไง... เป็นเมื่อก่อนตอบอธิบายกัน ยาวเหยียดเลย ต้องดู Volume Buy/Sell ยังไง ตั้ง Buffer แนว Stop Loss ไว้กี่ช่อง ... ตอนนี้เหรอ ตอบง่ายครับ ...
หยิบ หนังสือ โต้คลื่นหุ้น...เทคนิคทำกำไรทะลุฟ้า  มาเปิดหน้า 64 อ่านเลย ครับ ..อธิบายไว้ละเอียดเชียว  (ฮ่าๆๆ ... ขายของตลอด)

        แต่ใครจะรู้ล่ะว่า ที่จริงแล้ว วิธีการวาง Stop Loss แบบเทคนิคอล มันไม่ได้มีแบบเดียว มีอย่างน้อยที่ผมใช้ หรือเคยใช้ บ่อยๆ ก็ยังมี ตั้ง 8 แบบ ที่จะเอามาเล่าสู่กันฟัง

        ตั้ง 8 แบบ เชียวรึ .... น่าสนใจละสิ   ... มีอะไร บ้าง มาฟังกันแบบสรุปก่อนนะ จะได้รู้ Concept ของแต่ละแบบ


             

      แบบแรก :  Initial Stop หรือ Breakout Pyramid

               เป็นวิธีการ ง่ายๆ ที่ใช้กับ การวาง Stop Loss ในเวลาที่ราคาหุ้น มีการ Break Out แนวรับหรือแนวต้าน  หรือ เวลาที่ราคาหุ้น Break Out ออกจากการพักตัว วิ่งข้ามราคา High Price   เราก็วาง Stop Loss ที่แนวราคาที่เป็นจุดกลับตัวของราคาล่าสุดก่อนการ Break out ก็ง่ายๆ  แค่นี้เอง ... เนอะๆ!!!





     แบบสอง  :  X-Bars Stop 

           แบบนี้ก็ตามชื่อเลย (X-Bars นะ ไม่ใช่ X-Bra หรือ X-men ) คือ ใช้จุด Low Price ของแท่งราคา ที่ถัดจากแท่งราคา ต่ำลงไป กว่าเดิมอีกกี่แท่ง ถ้าเอาต่ำกว่าลงไป 1 แท่งก็เรียกว่า 1-Bar Stop
ถ้าเอาต่ำกว่าลงไป 2 แท่งก็เรียกว่า 2-Bars Stop หรือจะเอา 3 แท่ง เป็น 3-Bars Stop
หรือใน  หนังสือ โต้คลื่นหุ้น...เทคนิคทำกำไรทะลุฟ้า (อยู่ในคลื่น 16) เราจะเรียก 3-Bars Stop ว่า Safety Belt 
             ลองไปอ่านกันดูนะครับ
             หรือ อยู่ในบทความ นี้   "จะขึ้นเขา ... อย่าลืมคาดเข็มขัดนิรภัย... จะได้ไม่ติดดอย"
              http://waveridersclub.blogspot.com/2013/07/blog-post.html

     แบบสาม :  MA Stop 

            ก็เป็นการใช้ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Line) ใช้เป็นแนวราคาในการ Stop
           ใช้เส้น MA ก็ดีนั้น เส้นมันก็ขยับตามราคา ไปเรื่อยๆ ก็ง่ายดี ไม่ต้องกังวลมาก ราคาถอยลงมาหลุด เส้น MA ที่เราเลือกใช้เมื่อไหร่ ก็ขายทิ้ง
           แต่ก็มีปัญหา อีกว่า แล้วใช้เส้นค่าเฉลี่ย เท่าไหร่ ดี  .... อืม
           มันก็มีตั้งหลายแบบ บางคนก็ใช่ SMA (Simple Moving Average)  ที่ 10 , 25 , 50 , 100 ก็มี หรือ
           บางคน จะใช้ เส้น 5, 15, 35, 90  แบบที่ผม อธิบายไว้ใน   หนังสือ โต้คลื่นหุ้น...เทคนิคทำกำไรทะลุฟ้าที่เรียกว่า EMA Knights ก็ได้ หรือ ใครจะใช้ เส้นค่าเฉลี่ยแบบพิเศษ ที่เรียกว่า Alligator   ซึ่งถูกคิดค้นโดย Dr. Bill Williams ในหนังสือ Trading Chaos ก็ได้ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว
            อ่านบทความเกี่ยวกับ EMA Knights ได้ที่ นี่
            http://waveridersclub.blogspot.com/2010/11/2-5-ema.html

       แบบที่สี่ :  Resistant / Support Line

          แบบนี้เกิดมาจากหลักการที่ว่า " ... เมื่อแนวรับ/แนวต้าน ถูกราคาทะลุผ่านได้  แนวรับจะกลายเป็นแนวต้าน หรือแนวต้านจะกลายเป็นแนวรับ ... "
          ราคา Break out  แนวต้านขึ้นไปได้แล้ว ไม่ควรจะถอยย้อนกลับลงมาใต้แนวต้านนั้น เราจึงใช้แนวต้านที่ราคาทะลุผ่านไปได้เป็น Stop Loss
         แต่ว่าหลักการนี้ ควรจะเลือกใช้กับแนวต้านที่มีนัยยะสำคัญ เช่น แนวต้านของ Trading Range ที่ราคาในอดีต วิ่งชนไม่ผ่านมากนานหลายเดือนก็ไม่ผ่านสักที

         ลองทำความเข้าใจเกี่ยวกับ แนวรับ แนวต้าน ใน บทความนี้
         http://waveridersclub.blogspot.com/2012/11/resistant-support-part-2.html


          หรือ ใช้กับ การเปิดกระโดด เป็น Gap ที่เป็น Breakaway Gap , Continuous Gap หรือ Exhaustion Gap  เป็นต้น ...  ถ้าราคากระโดดเป็น Gap แล้ว ก็ไม่ควรถอยลงมาจนราคาปิด Gap
เมื่อเข้าซื้อหลังจากที่ราคาเปิดกระโดด ถ้าวันนั้นหรืออีก 1-2 วันถัดไปราคาถอยลงมาปิด Gap (Gap Filled) ก็ต้อง Stop Loss ทิ้งไป ..

           อธิบายไว้ในบทความ  เห็นโอกาสในช่องว่าง กันไหม ( Opportunity in Gap ) 
           http://waveridersclub.blogspot.com/2014/01/opportunity-in-gap.html 

           (หมายเหตุ : ทั้งเรื่องแนวรับ แนวต้าน และ แกป มีอธิบายไว้ใน   หนังสือ โต้คลื่นหุ้น...เทคนิคทำกำไรทะลุฟ้า โดยละเอียด พร้อมมีคลิป ที่ใช้ QR-Code ยิงเปิดดูประกอบได้ด้วย ... จ้า)

       แบบที่ห้า :  Trend Line - Speed Line Stop

           การใช้ Trend Line มาช่วยในการ Stop Loss ก็ทำได้ ในเวลาที่ราคาวิ่งแล้วพักตัว แล้วก็ไปต่อ เราสามารถตีเส้น Trend Line ผ่านจุดลกับตัว ที่ราคาพักตัวนั้น จะได้เส้นเฉียงที่บอก Trend ให้กับเรา

          เมื่อราคาอ่อนตัว อ่อนกำลังลงมาจนไม่สามารถวิ่งอยู่เหนือเส้น Trend Line ที่เราได้ตีไว้ ราคาลงมาเป็นการบอกว่า เราควรจะต้องขาย Stop Loss ออกมาเพื่อความปลอดภัย เพราะไม่รู้ว่า ราคาที่ตก Trend Line นั้น มันแค่อ่อนแรงพักตัว แล้วไปต่อ หรือว่ากลับตัวเปลี่ยนทิศวิ่งเป็นขาลงเลย รึไม่

          เมื่อราคาตก Trend Line เราจึงควรขายออกไปก่อน แต่ถ้าตรงกันข้าม ราคา วิ่งแรงขึ้น เชิดชันขึ้นจนราคาออกห่างจาก เส้น Trend Line  ไปมากแล้ว แบบนี้เราก็ควรจะตี Speed Line แนบไปกับการพักตัวย่อยๆ ในราคารอบใหม่ เพื่อทำการ Lock Profit เอาไว้





             แบบที่ หก  :  Volatility Stop 

                   Volatility แปลว่า  ความไม่แน่นอน  ในที่นี้หมายถึง ราคาหุ้นที่มีลักษณะความผันผวน ขึ้นลงไม่แน่นอน  หุ้นที่มีการเหวี่ยงตัวขึ้นลง แรงๆ บ่อยๆ ก็จะถือว่าเป็นหุ้นที่มี High Volatility  คือ มีความผันผวนสูง  ส่วนหุ้นที่เหวี่ยงตัวขึ้นลงไม่รุนแรง ก็เป็น หุ้นที่มี Low Volatility
               
                   ดังนั้น Tools ที่ใช้ในการ Stop Loss ด้วย Volatility ของราคาหุ้น ก็จะใช้ ATR - Average True Range นำมาคำนวณ และสร้างเครื่องมือมาใช้ในการช่วยวาง Stop Loss เช่น

                   -- Chandelier Exit  by Alexander Elder
                   -- Volatility Stop by J. Welles Wilder
                   -- ATR Band  by J. Welles Wilder
                   -- ATR Trailing Stop  by Chester Keltner                
                   -- Keltner Channel  by Chester Keltner ... เป็นต้น


            แบบที่ เจ็ด :  Parabolic SAR

                   Parabolic SAR คำว่า SAR  ย่อมาจาก Stop And Reversal เป็น เครื่องมือที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย J. Welles Wilder, Jr. อยู่ในหนังสือ New Concepts in Technical Trading Systems ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1978
                  Parabolic SAR จะสร้างจุดขึ้นมารองรับใต้ แท่งราคา ในเวลาที่หุ้นวิ่งขึ้น และจะกลับไปอยู่ด้านบนของแท่งราคาในเวลาที่หุ้นวิ่งลง ดังนั้นเวลาที่ ราคาหุ้นวิ่งขึ้นอยู่ แล้วพอราคาชะลอตัว SAR จะบีบเข้าหา แท่งราคา เมื่อแท่งราคาไหนที่ถอยทะลุ SAR ได้  SAR หายไปจากด้านล่างของแท่งราคา ไปอยู่ด้านบนของแท่งราคา
                 เมื่อเกิด SAR กลับข้างถ้า แท่งราคาถัดไปลง ต่ำกว่า Low ของแท่งราคาที่เกิด SAR พลิกกลับ จึงเป็น เวลาที่เหมาะที่จะ ขายหุ้นได้




            แบบที่ แปด :  Timing Stop

                  Stop Loss แบบนี้ล่ะ ที่ประหลาดที่สุด เพราะไม่ได้ดูที่ราคา แต่เป็นดูที่เวลา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ก็ควรจะต้อง Stop Loss ขายหุ้น ออกไป  โดยดูจากการเคลื่อนที่ของราคาในอดีตที่ผ่านมา นำมาประเมินการวิ่งของราคาในช่วงเวลาถัดไป ว่าจะสามารถวิ่งไปได้ไกล อีกกี่แท่ง
                  เมื่อถึงเวลาที่คาดไว้ ก็พิจารณา อาการของราคา หรือ Indicator อีกที ถ้ามีอาการอ่อนแรงให้เห็น ก็ขายออกไปตาม เป้าหมายเวลา
                  การ Stop Loss ด้วยเวลาแบบนี้ จึงประโยชน์มากกับ การเทรดในสินค้าที่มี Time Dilution เช่น Option เป็นต้น
                  วิธี ที่ใช้ในการ ทำ Timing Stop หรือ Tempo Stop แบบนี้ ก็มี

                    --  Time Cycle
                    --  Fibonacci Time Projection by Elliott Wave
                    --  Swing Counting by John Crane
                    --  TD Sequential Count by Thomas DeMark



     
           การเลือกใช้  Stop Loss ให้เหมาะสมกับ สินค้าที่เทรด เหมาะสมกับสไตล์ของตนเอง หรือเหมาะกับ Trade Setup ของตนเอง จึงต้องเลือกใช้ให้เป็น ซึ่งความรู้ในการใช้ Stop Loss แต่ละแบบ ก็สามารถศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเอาได้ จากการ Search ใน  Google หรือ YouTube

          หรือถ้าใครอยากจะรู้ อยากจะเรียน ก็บอกได้ว่า ผมสอนวิธีการใช้ Stop Loss ทั้งหมดนี้ อยู่ใน อบรม เทคนิคอล ที่จัดที่ Stock2morrow.com  โดยสอนกระจายอยู่ใน 3 หลักสูตรการอบรม คือ

          1.  Technical 4 วัน - สอนมือใหม่ รู้จักใช้เทคนิคอล
                 http://www.stock2morrow.com/course/courses_list.php?id=4

          2.  Swing Trade Style - 3 วัน
                 http://www.stock2morrow.com/course/courses_list.php?id=6

          3. Opportunity of Making Profit Technics เทคนิคทำกำไรทะลุฟ้า - 3 วัน
                 http://www.stock2morrow.com/course/courses_list.php?id=83


          สนใจเรียนรู้อะไร ก็ตามไปลองเรียนกันแบบละเอียดลึก แบบใช้งานได้จริงๆ กันเลย



Wave Riders Pui

DCF -invisible hand-

DCF -invisible hand-

หลายคนอาจจะสงสัยว่า VI จำเป็นต้องทำ model การหา valuation ด้วยวิธี DCF หรือไม่ หากถามผมๆ คิดว่าถ้าทำอาจจะทำให้สบายใจและมั่นใจขึ้นได้แต่คิดว่าไม่จำเป็น แต่ก่อนที่ผมจะสรุปว่าไม่จำเป็นผมจึงต้องอธิบายที่มาของการคิด DCF คร่าวๆ ก่อนครับ
DCF = กระแสเงินสดในอนาคตเป็นมูลค่าปัจจุบัน ( Present value ) + เงินสด ( หนี้สิน ) สุทธิ
การทำมูลค่าในอนาคตให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน คือ การ discount ด้วยอัตราดอกเบี้ย discount rate โดย discount rate
Discount rate
ถ้า discount rate เท่ากับ 10% เงิน 110 บาทใน 1 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่า 100 บาท ในปัจจุบัน เหตุผลที่เงิน 110 บาทใน 1 ปีข้างหน้ามีมูลค่า 100 บาทในปัจจุบันเนื่องจากหากนำเงิน 100 บาทไปลงทุนโดยได้ผลตอบแทนเท่ากับ 10% เงิน 100 บาทในปัจจุบันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 110 บาทในอีก 1 ปีข้างหน้า
ดังนั้นหากมีใครมาถามเราว่าให้เลือกระหว่างได้เงิน 100 บาทในปีนี้ หรือจะเลือกเงิน 110 บาทในปีหน้า ภายใต้สมมุติฐานว่าเราสามารถนำเงินลงทุนได้ผลตอบแทน 10% เราจะเลือกแบบไหน คำตอบที่หลายคนจะตอบก็คือ เลือก 100 บาทวันนี้ เพราะถ้าเป็นปีหน้าเดี๋ยวคนให้เงินจะเปลี่ยนใจไม่ให้แล้ว แต่คำตอบในเชิงการเงินก็คือ เลือกแบบไหนก็ได้ ค่าเท่ากันครับ
ดังนั้นเงิน 100 บาทในปัจจุบัน จะมีมูลค่ามากกว่า 100 บาทในอีก 10 ปีข้างหน้ามาก หรืออาจจะมีมูลค่ามากกว่าเงิน 200 บาทในอีก 10 ปีข้างหน้าด้วยซ้ำไปครับหากอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนจากการลงทุนสูงมากพอ
หลังจากทำความเข้าใจเกี่ยวกับการหามูลค่าปัจจุบันหรือ present value แล้ว ตัว discount rate หรือที่ศัพท์ทางการเงินเรียกว่า WACC โดยถ้าหุ้น 2 ตัวมีปัจจัยทุกอย่างเหมือนกันหมด หุ้นตัวที่ใช้ discount rate สูงจะมีมูลค่าแบบ DCF ต่ำกว่า
สำหรับ discount rate นั้นขึ้นกับตัวแปรต่างๆ ดังนี้ครับ
- อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด ส่วนใหญ่จะใช้อัตราดอกเบี้ย ( yield ) ของพันธบัตรอายุ 10 ปีเป็นตัวอ้างอิง ถ้าดอกเบี้ยสูง discount rate ก็จะสูง
- Beta คือ ความผันผวนของราคาหุ้นตัวนั้นๆ เทียบกับความผันผวนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ซึ่ง beta ในทางทฤษฎีการเงินคือเป็นตัววัดความเสี่ยงของหุ้นตัวนั้น โดยตั้งอยู่ในสมมุติฐานว่าหุ้นที่มีความเสี่ยงทางธุรกิจสูงจะมี beta สูง คือ จะมีความผันผวนของราคาสูง ซึ่งทฤษฎีนี้ใกล้เคียงความจริงหรือไม่ผมคิดว่าก็มีความใกล้เคียงอยู่บ้าง เช่น หุ้นที่มี beta สูงในตลาดไทย เช่น หุ้นไฟแนนซ์ หุ้นรับเหมาก่อสร้าง หุ้นอสังหาฯ วัสดุก่อสร้าง ซึ่งล้วนแล้วมีความเสี่ยงทางธุรกิจสูง ส่วนหุ้นที่มี beta ต่ำก็มักจะเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงทางธุรกิจต่ำกว่า
หุ้นที่มี beta สูง discount rate ก็จะสูงตามไปด้วยครับ
ดังนั้น ถึงตรงนี้เราได้ 2 ประเด็นแล้วครับว่า ถ้าช่วงไหนดอกเบี้ยในท้องตลาดสูงขึ้น discount rate ที่ใช้คำนวณ DCF ก็จะสูง ทำให้ราคาหุ้นตามวิธี DCF ก็จะต่ำลง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อดอกเบี้ยลดลงและมี แนวโน้มจะปรับตัวลดลงเมื่อมีข่าวว่าดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น หุ้นมักจะมี p/e ต่ำ แต่ในช่วงดอกเบี้ยขาลง หุ้นจะมี p/e สูง
ส่วนเรื่อง beta หรือความเสี่ยงนั้น ก็เช่นกันครับ หุ้นที่มีความเสี่ยงหรือ beta สูง ก็จะทำให้ discount rate สูง ราคาหุ้นตามวิธี DCF ก็จะต่ำลง ดังนั้นหุ้นที่มี beta หรือความเสี่ยงสูง ก็ควรจะมี p/e ต่ำกว่าหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ
การคิดกระแสเงินสดสุทธิ หรือ Free cash flow มีสูตรดังนี้ครับ
Free cash flow = กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อมราคา + การเปลี่ยนแปลงในเงินทุนหมุนเวียน + รายจ่ายลงทุนในสินทรัพย์
เงินทุนหมุนเวียน คือ เงินสด ที่ต้องใช้ในการซื้อวัตถุดิบเพื่อใช้ในการขายสินค้าและบริการ
รายการการเปลี่ยนแปลงเงินทุนหมุนเวียนจะเป็น ลบ ก็ต่อเมื่อ
มีการ เพิ่มขึ้น ของสินค้าคงคลังและวัตถุดิบ เพราะต้องใช้เงินในการซื้อวัตถุดิบ
มีการ เพิ่มขึ้น ของลูกหนี้การค้า แสดงว่ารายได้ 100 บาท เข้ามาเป็นเงินสดไม่ถึง 100 บาท
มีการ ลดลง ของเจ้าหนี้การค้า แสดงว่ารายจ่าย 100 บาท ยังไม่ต้องจ่ายทั้งหมด 100 บาทในทันที
การเปลี่ยนแปลงเงินทุนหมุนเวียนจะเป็น บวก ก็ต่อเมื่อ
มีการ ลดลง ของสินค้าคงคลังและวัตถุดิบ แสดงว่าสินค้าที่ขายออกไปมีมากกว่าที่ซื้อวัตถุดิบเข้ามา
มีการ ลดลง ของลูกหนี้การค้า
มีการ เพิ่มขึ้น ของเจ้าหนี้การค้า
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในธุรกิจทั่วๆ ไป เมื่อมีการขยายกิจการ คือ มีการผลิตสินค้ามากขึ้น ก็ย่อมจะต้องมีการสั่งวัตถุดิบและมีจำนวนสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น เมื่อยอดขายเพิ่มขึ้นก็ย่อมทำให้ลูกหนี้การค้ามากขึ้น ดังนั้นธุรกิจทั่วๆ ไปเมื่อมีการขยายกิจการจะทำให้การเปลี่ยนแปลงเงินทุนหมุนเวียนจะติดลบ คือธุรกิจนั้นๆ จะต้องใช้เงินสดในกิจการมากขึ้น ดังนั้นธุรกิจส่วนใหญ่แม้ยอดขายเพิ่มขึ้นและกำไรเพิ่มขึ้น แต่เงินสดที่เข้ามาในบริษัทมักจะต่ำกว่ากำไร แต่ธุรกิจที่เมื่อขยายสาขาหรือมีรายได้เพิ่มขึ้นแต่กลับยิ่งมีเงินสดมากขึ้น คือธุรกิจค้าปลีก เพราะมีการขายเป็นเงินสด แต่จ่ายเงินให้กับเจ้าหนี้ค่าสินค้าเป็นเงินเชื่อ ดังนั้นวันที่เปิดสาขาใหม่ ก็จะได้เงินสดมาทันทีแต่เงินสดนั้นจะถูกจ่ายให้กับเจ้าหนี้ในอีก 45-60 วัน ดังนั้นหากมีการคิด DCF ธุรกิจค้าปลีกเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นๆ ถ้ากำไรสุทธิต่อปีเท่าๆ กัน ธุรกิจค้าปลีกจะมีกระแสเงินสดสุทธิ หรือ Free cash flow สูงกว่าธุรกิจอื่นๆ จึงเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมหุ้นค้าปลีกจึงมี p/e สูงกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่มีการเติบโตของกำไรเท่าๆ กัน
ยิ่งธุรกิจใดให้เครดิตลูกหนี้การค้ายิ่งนาน บริษัทนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงในเงินทุนหมุนเวียนติดลบมากกว่าบริษัทที่ให้ เครดิตลูกหนี้สั้นกว่า และบริษัทใดที่ขายสินค้าเป็นเงินสด ก็จะทำให้ใช้เงินทุนหมุนเวียนน้อยกว่ามาก
บริษัทใดที่มีการขายสินค้าโดยใช้เวลานาน ก็จะใช้เงินทุนหมุนเวียนมากกว่าบริษัทที่ขายสินค้าในเวลาอันสั้นกว่า และอย่างที่ผมพูดไปในหน้าก่อนๆ คือ ยิ่งขายได้เร็วก็ทำให้ผลตอบแทนต่อเงินลงทุนสูง ดังนั้นสิ่งที่เถ้าแก่คนจีนนิยมทำนานมาแล้วคือ เน้นการขายเร็วๆ มากๆ เอา volume ก็เป็นความคิดที่ถูกต้องตามทฤษฎีการเงิน แม้ว่าอาเฮียเหล่านั้นจะไม่ได้เรียน MBA มาก็ตาม
รายจ่ายในการลงทุนในสินทรัพย์ เป็นรายการ ลบ ในการหา Free cash flow ยิ่งมีการลงทุนมากๆ Free cash flow ก็ยิ่งมีโอกาสติดลบมากขึ้น ดังนั้นหุ้นที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการขยายกิจการ ก็จะทำให้ Free cash flow ติดลบมากกว่าหุ้นที่สามารถขยายกิจการโดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก โดยทั่วไปหุ้นในภาคการผลิต อุตสาหกรรม มักจะต้องใช้เงินลงทุนในการขยายกิจการมากกว่าหุ้นประเภทธุรกิจบริการ เมื่อใช้เงินทุนน้อย กระแสเงินสดก็จะเป็นบวกได้มากกว่า หุ้นภาคบริการมักจะมีมูลค่าแบบ DCF สูงกว่าหุ้นในภาคการผลิตแม้ว่าจะมีกำไรสุทธิในแต่ละปีหรือปัจจัยอื่นๆ ใกล้กัน ดังนั้นหุ้นที่ทำธุรกิจบริการมักจะมี p/e สูงกว่าหุ้นในภาคอุตสาหกรรม
หุ้นที่ต้องใช้เงินลงทุนหมุนเวียน ( เงินสด ) จำนวนมากในการเพิ่มยอดขาย มักจะต้องมีการกู้เงินระยะสั้น หรือ Bank O/D จากธนาคารเพื่อมาเป็นเงินทุนหมุนเวียน และยังอยู่ในธุรกิจที่ต้องลงทุนจำนวนมากเพื่อขยายกำลังการผลิต และยิ่งหุ้นดังกล่าวมีหนี้ในสัดส่วนที่สูงด้วยนั้น หุ้นประเภทดังกล่าวมักจะมีโอกาสสูงที่จะต้องหาแหล่งเงินทุนอื่นๆ ที่ไม่ใช่การกู้เงินเพื่อชดเชยกระแสเงินสดที่ติดลบในอนาคต ดังนั้นหุ้นที่มีลักษณะเหล่านี้ร่วมกันจึงมีความเสี่ยงในการเพิ่มทุนสูง เมื่อหุ้นมีการเพิ่มทุนก็ย่อมทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง ดังนั้นหุ้นที่มีความเสี่ยงในการเพิ่มทุนมักจะมี p/e ที่ต่ำกว่าหุ้นที่สามารถเติบโตได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน
การเติบโตทางธุรกิจ เนื่องจากการทำ DCF คือการประมาณกระแสเงินสดในอนาคต ดังนั้นหุ้นที่มีการเติบโตในอนาคตสูง ก็จะมีกระแสเงินสดในอนาคตที่เพิ่มขึ้นกว่าปัจจุบันมาก ดังนั้นหุ้นที่มีการเติบโตสูงจึงจะมี DCF สูงกว่าหุ้นที่มีการเติบโตต่ำ
ปัจจัยสุดท้ายที่มีผลต่อการคำนวณ DCF ก็คือ มูลค่าเงินสด หรือหนี้สินสุทธิ ซึ่งก็คือ
เงินสดสุทธิ = เงินสดในบริษัท - หนี้สินระยะยาว - หนี้สินระยะสั้นที่มีดอกเบี้ย
ดังนั้น ถ้าปัจจัยทุกอย่างเหมือนกันหมด หุ้นที่มีเงินสดสุทธิเป็นบวกก็จะมี DCF สูงกว่าหุ้นที่มีหนี้สิน
สรุป มูลค่าหุ้นตามแบบ DCF จะขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญดังนี้ครับ
- อัตราดอกเบี้ย ถ้าดอกเบี้ยต่ำลง มูลค่า DCF จะสูงขึ้น
- ความเสี่ยงของธุรกิจ ถ้าธุรกิจมีความเสี่ยงสูง DCF ก็จะต่ำ
- การให้เครดิตลูกค้ายาวๆ DCF จะต่ำ
- การได้รับเครดิตจากเจ้าหนี้การค้ายาวๆ DCF จะสูง
- ขายสินค้าได้เร็ว มีการเก็บสินค้าคงคลังต่ำ DCF จะสูง
- ต้องมีการลงทุนจำนวนมากๆ ในการขยายกิจการ เมื่อเทียบกับกระแสเงินสดในแต่ละปี DCF จะต่ำ
- มีการเติบโตสูง DCF จะสูง
- มีหนี้มากๆ DCF จะต่ำ
สำหรับ DCF กับ p/e จะมีความสัมพันธ์กัน หากหุ้น 2 ตัวที่ปัจจุบันมีกำไรสุทธิเท่ากัน หุ้นตัวที่มีราคาเป้าหมายโดยวิธี DCF สูงกว่า จะมี p/e ที่เหมาะสมสูงกว่าหุ้นที่มีราคาเป้าหมายโดยวิธี DCF ต่ำกว่า ดังนั้น ด้วยย่อหน้าข้างบน เราสามารถเปลี่ยนคำว่า DCF เป็น p/e ได้เป็น
- อัตราดอกเบี้ย ถ้าดอกเบี้ยต่ำลง p/e ของหุ้น จะสูงขึ้น
- ความเสี่ยงของธุรกิจ ถ้าธุรกิจมีความเสี่ยงสูง p/e ก็จะต่ำ
- การให้เครดิตลูกค้ายาวๆ p/e จะต่ำ
- การได้รับเครดิตจากเจ้าหนี้การค้ายาวๆ p/e จะสูง
- ขายสินค้าได้เร็ว มีการเก็บสินค้าคงคลังต่ำ p/e จะสูง
- ต้องมีการลงทุนจำนวนมากๆ ในการขยายกิจการ เมื่อเทียบกับกระแสเงินสดในแต่ละปี p/e จะต่ำ
- มีการเติบโตสูง p/e จะสูง
- มีหนี้มากๆ p/e จะต่ำ
ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจหลักของ DCF แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องทำ model DCF ก็ได้ เพียงแต่เราต้องเข้าใจว่าธุรกิจที่เราต้องการวิเคราะห์นั้นเป็นอย่างไร มีการเติบโตสูงหรือต่ำ มีความเสี่ยงทางธุรกิจสูงหรือไม่ เมื่อต้องการขยายธุรกิจต้องใช้เงินทุนจำนวนมากหรือไม่ มีหนี้มากหรือน้อยเพียงใด
วันนี้ก็คงขอจบบทความลงเท่านี้ครับ ขอให้เพื่อนๆ ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงและประสบความสำเร็จกับการลงทุนในแนวทาง VI ครับ ขอบคุณมากครับ
cr.line

การวิเคราะห์บริษัทโดยใช้งบการเงินเป็นตัวเริ่มต้นจะช่วยให้สามารถ focus ไปที่ละส่วน โดยไม่หลุดประเด็นสำคัญ (1) ลูกค้า-ลูกหนี้-ขาย

การวิเคราะห์บริษัทโดยใช้งบการเงินเป็นตัวเริ่มต้นจะช่วยให้สามารถ focus ไปที่ละส่วน โดยไม่หลุดประเด็นสำคัญ (1) ลูกค้า-ลูกหนี้-ขาย


เมื่อเริ่มวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทใดๆ หลักที่แนะนำคือ
  1. ทำธุรกิจใดจริงๆ อย่าดูหมวดที่จัดจากตลาดหลักทรัพย์ เพราะอาจทำให้เรามองผิดพลาดได้ ตัวอย่าง เช่น หมวด Energy มีทั้ง BANPU PTT TOP AKR GONKUL SOLAR เป็นต้น ทั้งหกตัวที่เห็นแม้จะเกี่ยวพันกับพลังงานก็จริง แต่กระบวนการผลิต ขาย วิธีการดำเนินธุรกิจ การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ  (Asset Allocations) ต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ค่า P/E  ก็ดี P/BV ก็ดี หรือการหามูลค่าแท้จริงด้วย DCF Model ก็ดี ใช้การเทียบเคียงระดับ (P/E P/BV) หรืออ้างอิงความเสี่ยงเพื่อกำหนด่าตัวคิดลด หรือเทียบเคียงหาตัว Multiplier ที่ใช้คูณ Terminal Value ใน DCF Model ไม่ได้เลย มันผิดหลักการทั้งหมด BANPU จริงๆ ทำเหมืองถ่านหิน PTT และ TOP ทำธุรกิจผลิตน้ำมัน PTT ถือหุ้นในกลุ่มกว้างกว่า TOP บริษัท PTT ดูจะมี Value chain ดูจะยาวกว่า ส่วน AKR GONKUL ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าขาย SOLAR ดุให้ดี รับเหมาก่อสร่าง เพียงแต่ลูกค้าคือคนสร้างโรงงาน บ้านพลังงานแสงอาทิตย์ รายได้มาจากการรับก่อสร้างมากกว่าการขายไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โครงสร้างงบดุลต่างกัน งบกำไรขาดทุนต่างกัน เอาไปเทียบกันไม่ได้เลย
  2. เมื่อมองธุรกิจที่กระบวนการดำเนินธุรกิจชัดก็จะวิเคราะห์คาดการณ์ได้ถูกต้อง เพราะอะไร อย่าลืมครับว่า การบันทึกทางบัญชี ลงรายการตามลักษณะ Activities ที่เกิดเป็นหลัก ไม่ใช่ลงตามอย่างอื่น จัดรายการที่เกิดเป็น function เช่น ลูกหนี้ ขาย สินค้า เจ้าหนี้ เงินกู้ยืม เป็นต้น การเกิดรายการเหล่านี้ส่งผลต่อรูปแบบรายได้ ค่าใช้จ่าย และสุดท้ายก็คือกำไร ถ้าผลิตขาย สุดท้ายก็คือกำไรเพียงพอต่อการลงทุนในสินทรัพย์หรือไม่ ไม่ใช่ว่าทำอะไรอย่างเดียว อย่างคนที่มองเรื่องพลังงานทดแทน ควรมองให้ดีว่าธุรกิจนั้นผลิตพลังงานทดแทนขาย หรือรับจ่างสร้างโรงงานขาย เพราะผลิตพลังงานขายลงทุนสร้างครั้งเดียว เก็บกินกำไรได้นานหลายสิบปี แต่รับจ้างสร้างโรงงาน พอสร้างเสร็จรายได้ก็จบต้องหาลูกค้าใหม่ รายได้มาทีเยอะ แต่ไม่แน่นอน
  3. ดังนั้น ควรตรวจเบื้องต้นด้วย common size ธุรกิจแต่ละลักษณะการดำเนินงาน จะมีโครงสร้างสินทรัพย์ต่างกัน โครงสร้างทุนต่างกันไป ไม่ใช่เพียงแต่ลักษณะธุรกิจเท่านั้น อัตราส่วนที่เน้นก็ต่างไป เราไม่ต้องวิเคราะห์ทุกอัตราส่วนเหมือนกัน ธุรกิจที่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ PPE มาก ลูกหนี้สัดส่วนน้อย การวิเคราะห์ AT FAT ROA CFROA สำคัญกว่าการดู CR QR CC AR มาก บางครั้งไม่ต้องดูด้วยซ้ำ
    1. ตัวอย่างการวิเคราะห์ธุรกิจตามรายการในงบดุลหรืองบแสดงฐานะการเงิน เช่นรายการลูกหนี้การค้า ซึ่งก็คือความสัมพันธ์ของ ลูกค้า-ลูกหนี้-ขาย แค่ละกิจการ แต่ละประเภทมีผลต่อแนวโน้มระยะยาวของรูปแบบกำไร เงินสดที่ได้รับ ความเสี่ยงของธุรกิจ เช่น 
4.1.     อสังหาริมทรัพย์ ลูกค้าธุรกิจนี้ เกิดแล้วจบ ต้องนับหนึ่งใหม่ทุกปี มีรายได้ กำไร ไม่แน่นอน คาดการณ์ยาวๆได้ยาก อสังหาริมทรัพย์หาลูกค้าซื้อแล้วไม่กลับมาซื้อซ้ำ เพราะบ้าน คอนโด ไม่ใช่ของกิน ส่วนมากซื้อแล้วใช้ครั้งเดียว Growth จึงมาจากกำลังซื้อใหม่ ขึ้นกับเศรษฐกิจ ภาวการณ์ว่างงาน ภาระหนี้ครัวเรือน อัตราดอกเบี้ย NPL ในระบบ เพราะถ้าธนาคารเข้มงวดปล่อยกู้ ยอดขายก็ไม่เกิด ธุรกิจนี่ไม่มีลูกหนี้ ดูเหมือนขายสดแต่ไม่ใช่ ลูกค้ากู้มาซื้อบ้าน ธุรกิจกู้มาสร้างบ้าน รับกระเป๋าซ้าย จ่ายกระเป๋าขวา
4.2.     รับเหมาก่อสร้าง ลูกค้าก็เป็นลักษณะคล้ายกับอสังหาริมทรัพย์ เกิดครั้งเดียว จบโครงการก็เริ่มใหม่ ไม่ต่อเนื่องกับลูกค้าเดิม รายได้ก็รับรู้แบบวิธีประมาณการ ไม่ได้สัมพันธ์กับเงินสด คาดการณ์ยาก มองยาวๆ ผิดได้ง่าย กำไรวันนี้ไม่ได้ยืนยันวันหน้าว่าจะดี หรือวันนี้แย่ พรุ่งนี้อาจดีเลยก็ได้ แต่ก็คือของแค่พรุ่งนี้จบจากนี้จะมีโครงการใหม่ๆอย่างไรต้องลุ้น จึงเสี่ยงสุดๆ
4.3.     กลุ่มที่ให้บริการด้านสาธารณูปโภค เช่น ขายไฟฟ้า ขายน้ำ จะมีลูกค้าประจำ ดังนั้นรายได้ และกำไร จึงสามารถคาดการณ์ได้ค่อนข้างแม่นยำ รายได้ส่วนมากมีการผูกพันโดยสัญญา  ความแน่นอนของรายได้สูง กลุ่มพวกนี้จัดเป็น Defensive Stock รายได้จะไม่ผันผวนไม่โตหวือหวา เว้นแต่ขยายขนาดกำลังการผลิต คือลงทุนมากๆ มีสัญญาใหม่ๆ เพิ่มตามการลงทุน ลูกค้ามักเป็นรัฐวิสาหกิจ หรือภาคธุรกิจโรงงานต่างๆ ในนิคม จึงไม่ค่อยมีปัญหาหนี้เสียมากนัก
4.4.     กลุ่มให้บริการโทรคมนาคม โทรศัพท์ มีลูกค้าขาประจำที่เป็นโดยพฤติกรรม การคาดการณ์รายได้ กำไร จึงไม่ค่อยผิดพลาดมากนัก ความเสี่ยงธุรกิจจึงไม่ใช่ที่ลูกค้ามากนัก
4.5.     ธุรกิจทางการเงิน เช่น ธนาคาร, ปล่อยกู้-เช่าซื้อ กลุ่มนี้มีลูกหนี้ปล่อยกู้เป็นสินทรัพย์หลัก คุณภาพลูกหนี้จึงสำคัญที่สุด ต้องพิจารณาหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้กำไรของธุรกิจไม่แน่นอน และมีความเสี่ยงสูงตามภาวะเศรษฐกิจ กลุ่มนี้ต้องดูว่า Loan Portfolio เป็นอย่างไร เช่าซื้อมีลูกค้ากลุ่มเดียวแบบเดียว จึงเสี่ยงมากกว่าธนาคาร เวลาพูดถึงความเสี่ยงหมายความว่า เมื่อกำไรพุ่งก็สูงมาก แต่เวลาตกก็ร่วงรุนแรง ดังนั้นหุ้นกลุ่มนี้หากจะลงทุนระยะยาว 5-10 ปี อย่าคาดการณ์ด้านดีอย่างเดียว ต้องมองกลางๆ มักตามภาวะเศรษฐกิจ ผันผวน
4.6.     ธุรกิจประกัน แยกได้คือ ประกันวินาศภัย และประกันชีวิต รายได้กลุ่มนี้ต่างกัน ถ้าวินาศภัย รายได้รับรู้จากลูกค้าที่มักจ่ายค่าประกันปีต่อปี ความมั่งคงรายได้จะขึ้นกับฐานลูกค้าประจำ เช่นกลุ่มธุรกิจในเครือข่าย ขยายตัวขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ส่วนมากจะเพิ่มขึ้น รายได้ ไม่ใช่กำไรนะครับ หากบริการดี ลูกค้ามีความพอใจและมั่นใจก็ซื้อซ้ำประจำต่อเนื่อง
4.7.     ส่วนประกันชีวิต ข้อดีคือลูกค้าเมื่อซื้อประกันชีวิตจะจ่ายต่อเนื่องไปหลายๆปีจนจบสัญญา ดังนั้นรายได้จะเกิดต่อเนื่อง คาดการณ์ไม่ค่อยยาก (ในแง่รายได้นะครับย้ำ)
4.8.     กลุ่มค้าปลีก รายได้และการขยายตัวมาจากการเปิดสาขาใหม่เพิ่มเติม รายได้แต่ละสาขาขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจและอำนาจซื้อของครัวเรือน การคาดการณ์การขยายตัวของรายได้จึงต้องพิจารณาสองด้านคือ การขยายการลงทุนและอำนาจซื้อของประชากร อำนาจซื้อมากแต่ไม่ขยายสาขา รายได้ก็โตไม่เร็ว ขยายสาขาแต่อำนาจซื้อน้อยรายได้อาจโตแต่ความสามารถทำกำไรจากการลงทุนในสาขาลดลง
4.9.     โรงพยาบาล รายได้ค่อนข้างเติบโตแบบมั่นคง การก้าวกระโดมากๆ มักมาจากการ Takeover หรือซื้อกิจการโรงพยาบาลอื่น เพราะโดยธรรมชาติลูกค้าโรงพยาบาลไม่ชอบการเจ็บป่วย คงไม่มีใครอยากเข้าโรงพยาบาลซ้ำๆ ถี่ๆ สิ่งที่จะเปลี่ยนแนวโน้มจึงเป็นระยะยาวมากกว่าการเปลี่ยนทันทียกเว้นการซื้อกิจการโรงพยาบาลอื่น การคาดการณ์รายได้จากสินทรัพย์ปัจจุบันคือการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป มากกว่าการประมาณแบบก้าวกระโดด
4.10.    กลุ่มส่งออก การคาดการณ์กลุ่มนี้มีสองมิติหลักคือ อัตราแลกเปลี่ยนและภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ค่าเงินบาทที่อ่อนเป็นผลดีต่อการส่งออก และการเติบโตเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าด้วยแต่ก็ต้องระวังเรื่องการแข่งขันด้วย ดังนั้นการคาดการณ์รายได้จึงมีความเสี่ยงหลายมิติมาก ทั่งค่าเงิน ภาวะเศรษฐกิจนอกประเทศ และการข่างขันในตลาดโลก
การคาดการณ์รายได้ การวิเคราะห์ธุรกิจ เราก็เริ่มจากงบการเงินนี่แหละครับ ไม่รู้จะเริ่มอะไร ก็วิเคราะห์จากงบดุลหรืองบแสดงฐานะการเงิน นานเข้าก็จะเชี่ยวชาญมากขึ้น ด้านอื่นๆ ก็เช่นกัน สินค้าคงเหลือ เงินลงทุน ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ไว้จะค่อยๆ นำมาดูทีละรายการในงบการเงินกันครับ    

Credit:https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul

สรุปประเด็นบางประการในการอ่านงบการเงิน

สรุปประเด็นบางประการในการอ่านงบการเงิน


สรุปประเด็นบางประการในการอ่านงบการเงินที่นักลงทุนสามารถใช้ช่วยตีความในกิจกรรมของธุรกิจ ซึ่งหากนำไปร่วมประเมินกับอัตราส่วนทางการเงินที่วิเคราะห์จะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น

- การเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียน บ่งบอกถึงกิจกรรมดำเนินงานว่าเป็นอย่างไร การเพิ่มขึ้นส่วนมากจะชี้ถึงบริษัทในรอบบัญชีนั้นมีกิจกรรมการตลาด การผลิตมากขึ้นมักจะมีแนวโน้มว่าเน้นกลยุทธ์เชิงรุกมากขึ้น รอบบัญชีนั้นๆมักจะวุ่นวายกับ ปัญหาธุรกิจรายวันมักจะเป็นเรื่องซื้อๆ ขายๆ หรือการผลิตในโรงงาน หนี้ระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นมากมักจะมีปัญหาการหมุนเวียนเงินสดในมือ บางธุรกิจอาจจะสะดุด บางธุรกิจเงินเข้าได้เดี๋ยวเดียวจ่ายออกอีกแล้ว เป็นต้น ซึ่งสังเกตได้จาก วงจรเงินสดยาวขึ้น Current ratio ลดลง กระแสเงินสดจากการดำเนินงานลดลงหรือ QE (คูณภาพกำไร) ลดลง เป็นต้น

- การเปลี่ยนแปลงในลูกหนี้การค้ามากบอกได้ว่าขายของเพิ่มมากขึ้นแน่ ซึ่งยังบอกได้อีกว่าทำตลาดมากขึ้นอาจขายมากและขยายเครดิตยาวขึ้นก็ได้ หรือขายแล้วเก็บเงินไม่ค่อยได้ก็ได้เช่นกัน แต่ต้องดูอัตราส่วนการเงินที่เกี่ยวข้องด้วย ส่วนถ้าลูกหนี้การค้าลดลงก็เป็นทั้งสัญญาณที่ดีและไม่ดีได้ เช่น เก็บเงินเร็วขึ้นหรือบางครั้งอาจตั้งสำรองหนี้สูญสูงขึ้นมากกว่าปกติ บางครั้งดูคู่กับการวิเคราะห์แนวโน้มก็ได้แล้วสามารถสรุปประเด็นบางอย่างได้เช่นกัน และถ้าเราไปอ่านหมายเหตุประกอบงบการเงินเพิ่มเติมพิจารณาที่ระยะเวลาค้างชำระหนี้ เราก็อาจจะพบอะไรในลูกหนี้ได้อีก

- การเปลี่ยนในสินค้าคงเหลือ ในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องการผลิตและซื้อวัตถุดิบหรือสินค้าเป็นหลัก สินค้าคงเหลือที่เพิ่มขึ้น ถ้าเพิ่มขึ้นสูงในส่วนวัตถุดิบ มองได้หลายมุมเข่น แนวโน้มราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นสูงมาก หมายความว่าในงวดบัญชีหน้าต้นทุนขายจะสูงขึ้นหรืออาจหมายถึงวัตถุดิบถูกซื้อมาตุนไว้ เพราะมีคำสั่งล่วงหน้าในมือมาก? ของซื้อมาแล้วผลิตไม่ได้? สินค้าลดลง ถ้างานระหว่างทำเพิ่มขึ้นมากหรือสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นมาก สัญญาณเหล่านี้ล้วนสามารถบ่งบอกเหตุการณ์ในธุรกิจได้อย่างดี และเช่นเดียวกับการวิเคราะห์ลูกหนี้ต้องพิจารณาอัตราส่วนทางการเงินและพิจารณาหมายเหตุประกอบงบการเงินด้วย การดูควรประกอบกับ inventory turnover ratio จะได้ภาพที่ชัดขึ้น

- สินทรัพย์หมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้นมาก ต้องดูรายละเอียดในหมายเหตุประกอบฯ ถ้าไม่บอกไว้อาจบ่งชี้บางอย่างที่ซ่อนเร้นโดยปกติรายการนี้อาจดูจากสัดส่วนในอัตราร้อยละยอดรวม (Common Size) ซึ่งควรใกล้เคียงเดิม การเพิ่มมาก (สัดส่วน) ที่สูงผิดปกติ อาจบ่งบอกกิจกรรมที่ไม่ปกติของธุรกิจที่เกิดในงวดนั้นๆ

- เงินลงทุนเพิ่มขึ้น ในงบการเงินรวมส่วนนี้จะหมายถึงเงินลงทุนในกิจการอื่นที่มีสัดส่วนน้อยกว่า 50% ถ้าสูงกว่านี้จะต้องนำมาจัดทำงบการเงินรวมเพราะถือเป็นบริษัทย่อย แต่ถ้ายังสูงกว่า 20% เงินลงทุนต้องบันทึกด้วยวิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) วิธีนี้ผลกำไรขาดทุนของบริษัทที่ไปลงทุนจะนำมารวมตามสัดส่วนที่ถือหุ้นถ้ามีการจ่ายปันผลเงินลงทุนนี้ก็จะลดลง อาจมองง่ายๆ ว่าเงินลงทุนที่ใช้วิธี Equity นี้จะขึ้นลงตามส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ลงทุนอยู่ ถ้ามูลค่ารวมต่ำกว่าทุนที่นำไปลงครั้งแรกแปลว่าบริษัทร่วมหรือย่อยเหล่านั้นขาดทุนซึ่งโดยปกติถ้าขาดทุนตลอดต่อเนื่อง อาจมีการใช้บริษัทย่อยเป็นตัวผ่องถ่ายกำไรหรือสินทรัพย์ก็ได้ เช่น มีค่าใช้จ่ายการบริหารสูงเกินจริง ขายสินค้าให้กับบริษัทที่กรรมการหรือผู้บริหารแอบไปถือหุ้นไว้ในราคาต่ำกว่าตลาดหรือซื้อวัตถุดิบจากบริษัทเหล่านั้นในราคาที่สูงเกิน บางครั้ง การเพิ่มขึ้นสูงมากในงบโดยเฉพาะเงินเข้าลงทุนครั้งแรกอาจตั้งซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิมสูงเกินราคาปัจจัยพื้นฐาน ถ้าเป็นบริษัทจะเห็นได้จากการมีค่านิยมสูง ส่วนบริษัทร่วมจะไม่เห็น แต่สังเกตได้จากหมายเหตุประกอบงบการเงินที่เงินลงทุนตามสัดส่วนที่ลงทุน สูงกว่าทุนจดทะเบียนสูงมากกว่าที่ควรเป็น เป็นต้น แต่ถ้าจะพิจาณาในแง่ยุทธ์ศาสตร์เงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นในบริษัทย่อยมักจะเกี่ยวข้องกับการกำหนดยุทธ์ศาสตร์โดยตรงในธุรกิจใหม่ที่สร้างโอกาสตลาดที่แตกต่างจากกลุ่มเป้าหมายตลาดเดิม (Existing Market) แต่ถ้าเพิ่มในบริษัทร่วมมักจะเป็นด้านการสร้างพันธมิตรธุรกิจหรือเครือข่าย (Network) การวิเคราะห์กรณีบริษัทร่วมดูส่วนแป่งกำไรเทียบกับเงินลงทุนร่วมว่าเป็นกี่ % นั่นคือผลตอบแทนในการลงทุนคร่าวๆ น้อยแสดงว่าการลงทุนไม่คุ้มเท่าไรทางการเงิน ส่วนบริษัทย่อยในงบรวมถูกรวมเข้าไว้แล้วเปรียบเหมือนแผนกหนึ่งการมองให้ดูภาพรวมร่วมไปกับบริษัท

-ที่ดินอาคารและอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้น โดยทั่วไปจะเป็นการลงทุนในลักษณะขยายกำลังการผลิต เช่นสร้างโรงงานใหม่ ซื้อเครื่องจักเพิ่มขึ้น มีธุรกิจจำนวนไม่มากนักที่ขายสินค้าที่แตกต่างจากเดิม ต้องผลิตสิ่งใหม่ที่ต่างจากเดิม 180 องศา เช่นจากธุรกิจเกษตรแปรูปเนื้อสัตว์ (ไก่) แช่แข็งส่งออก แล้วจะทำโทรคมนาคมจะรวมเอาธุรกิจมาไว้ในบริษัทเดิมทั้งหมด เพราะกระบวนการดำเนินงาน (operating supply chain) แตกต่างสิ้นเชิง กลุ่มเป้าหมายทางตลาดก็ต่างกัน แม้แต่ในธุรกิจโทรคมนาคม เดิมกิจการทำโทรศัพท์ระบบมือถือถ้าจะเพิ่มธุรกิจดาวเทียมก็จะแยกออกไปตั้งบริษัทใหม่ จะไม่มารวมกันโดยตรงแต่ใช้วิธีการควบคุมกิจการเหล่านี้ผ่าน Holding Company การสังเกตการเปลี่ยนแปลงตัวเลขในรายการนี้ เราก็จะพอคาดได้ว่าธุรกิจปัจจุบันบริษัทมองอนาคตอย่างไรบ้าง ถ้าเป็นกรณีที่มองภาพรามแล้วหลากหลายมาก เมื่ออ่านงบให้ดู งบแยกตามส่วนงานประกอบ ซึ่งจะแบ่งสินทรัพย์ หนี้สิน กำไร ไว้แยกชัดเจน แต่บ่งบอกภาพรวมๆ แต่เท่านี้เราก็พอใช้ดูว่าธุรกิจใดทำกำไรมากหรือน้อย ปีต่อๆไป ธุรกิจใดจะเพิ่มกำไรมากขึ้น บางบริษัทส่วนธุรกิจ A อาจมีอัตรากำไรสูงแต่สัดส่วนสินทรัพย์และกำไรน้อย แสดงว่าแม้จะเติบโตมากก็ไม่มีผลต่อกำไรโดยรวม เราจึงอาจเพียงแค่ติดตามห่างๆว่านโยบายการลงทุนและกลยุทธ์ในภาพรวมไปทิศทางธุรกิจ star นั้นไหม และต้องลงทุนเท่าไรกำไรถึงมีนัยต่อภาพรวมเป็นต้น

- ส่วนด้านหนี้สินที่เพิ่มหรือลด จะเกี่ยวข้องกับการตัดสินในการจัดหาเงินโดยตรง เราจะเรียนรู้การตัดสินใจด้านการเงินของผู้บริหารได้ดีว่ามีความรู้ความเข้าใจการเงินเป็นอย่างไร มีลักษณะเป็นผู้บริหารที่ชอบเสี่ยงมากหรือน้อย หนี้ระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นเร็วอาจบอกเราได้อย่างเช่น กิจการนั้นมักเผชิญปัญหาทางการเงินระยะสั้นบ่อยและเป็นปัญหาเฉพาะหน้า แสดงว่าวางแผนการเงินยังไม่รัดกุมดีพอ หรืออาจมีเครดิตการเงินไม่ดีนักจึงมักกู้เงินได้แต่ระยะสั้น การจัดสรรสัดส่วนหนี้ระยะสั้นและระยะยาวบอกถึงวิธีการบริหารการเงินกับธุรกิจได้มาก และเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความอยู่รอดของธุรกิจในระยะยาว สัดส่วนที่สำคัญคือ  D/E ratio

Credit:https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul

การวัดราคาหุ้นด้วย P/E ratio : โดย สันติ สิงหวังชา

การวัดราคาหุ้นด้วย P/E ratio : โดย สันติ สิงหวังชา


การประเมินราคาแบ่งได้เป็น 2 วิธีหลักๆ วิธี discount (DCF) นั้นผมไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าเป็นวิธีที่ไม่ดี เพราะถ้านักลงทุนสามารถที่จะประมาณและคาดการณ์อนาคตได้ค่อยข้างแม่นยำ วิธี discount เป็นวิธีที่ให้คำตอบได้ดีมาก
ใครสนใจการประเมินแบบ discount แนะนำให้อ่านหนังสือ วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง เขียนโดย คุณสุมาอี้(นามแฝง) ผมเองเพิ่งอ่านจบไปเมื่อกี้นี้เอง อ่านเข้าใจง่ายและมีตัวอย่างการวิเคราะห์หุ้นของจริงๆให้เห็นหลายรูปแบบ ซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป
คราวนี้เรากลับมาพูดถึงวิธี Relative กันบ้างดีกว่า ติดค้างกันไว้นานแล้ว
วิธี Relative ที่ผมใช้บ่อยที่สุดคือ P/E ratio โดยที่ P คือ ราคาหุ้น ในขณะที่ E คือกำไรต่อหุ้น ความหมายของ p/e มองได้ง่ายๆคือ จำนวนปีที่จะคืนทุนโดนสมมุติว่ากำไรคงที่ตลอด
เช่น เราซื้อหุ้นราคา 10 บาท กำไรต่อหุ้น 2 บาท เพราะฉะนั้นถ้ากำไรของบริษัทยังคงที่ไปตลอด การลงทุนครั้งนี้ก็จะมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 5 ปี ดังนั้น ถ้าสมมติว่าหุ้นทุกตัวในตลาดมีกำไรคงที่ตลอด หุ้นที่น่าซื้อที่สุดคือหุ้นที่ pe ต่ำที่สุด หรือ มีระยะเวลาคืนทุนต่ำที่สุดนั้นเอง
แต่ชีวิตจริงมันไม่ง่ายอย่างที่เราสมมตินะซิ กำไรของหุ้นในตลาดนั้นมีทั้งเพิ่มขึ้น ลดลง หรือคงที่ ด้วยอัตราที่แตกต่างกันไป เลยเป็นที่มาว่าหุ้นแต่ละตัวจะมี pe ที่เหมาะสมไม่เท่ากัน
ลองมาดูตัวอย่างง่ายๆ ข้างล่างนี้
หุ้น a มีกำไรคงที่ตลอด
หุ้น b มีแนวโน้มกำไรเติบโต
หุ้น c มีแนวโน้มกำไรลดลง
หุ้น d มีกำไรผันผวนเอาแน่เอานอนไม่ได้
สมมติหุ้นทั้ง 4 ตัวมี pe เท่ากับ 6 เหมือนกันหมด ถ้าให้เลือกหุ้นได้ตัวเดียวเราควรจะซื้อหุ้นตัวไหน จริงๆแล้วคงตอบได้ไม่ยากว่าหุ้น b น่าจะเป็นการลงทุนที่ดีที่สุด เพราะถ้ากำไรไม่โตก็ใช้เวลา 6 ปีในการคืนทุน ถ้ากำไรโตขึ้นด้วยเวลาคืนทุนก็น่าจะสั้นกว่า 6 ปี แต่ถ้าถามกลับกันว่าหุ้นตัวไหนที่ไม่ควรซื้ออย่างมาก ก็น่าจะเป็นหุ้น c เพราะระยะเวลาคืนทุนน่าจะยาวกว่า 6 ปีเป็นแน่ หรือดีไม่ดีอาจจะไม่มีโอกาสคืนทุนเลยก็ได้ถ้าบริษัทกำไรลดลงจนกลายเป็นขาดทุนไปเลย
ส่วนหุ้น a นั้นแม้ว่าจะไม่ใช่การลงทุนที่ดีที่สุด แต่อย่างไรก็ใช้เวลาคืนทุนประมาณ 6 ปี ก็ไม่ถือว่าเป็นการลงทุนที่แย่เท่าไหร่ ถ้าเปลี่ยนโจทย์ให้สามารถลงทุนได้ 2 ตัว หุ้น a ก็น่าจะอยู่ในตัวเลือกด้วยได้
แต่ปัญหาอยู่ที่หุ้น d นี่แหละครับ จะว่าน่าซื้อหรือว่าไม่น่าซื้อตอบยากเหลือเกิน เพราะกำไรมันเอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง บางปีอาจจะขาดทุนมาก บางปีอาจจะพลิกมาเป็นกำไรมาก ในความเป็นจริงแล้วหุ้นที่อยู่ในตลาดมีหุ้นกลุ่มนี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ข้อแนะนำข้อแรก สำหรับการใช้วิธีวิเคราะหุ้นด้วย pe อย่างแรกคือ หลีกเลียงการใช้ pe กับหุ้นที่มี ธุรกิจ รายได้ หรือกำไรที่ผันผวน (จริงๆวิธีดัดแปลงนำไปใช้ก็พอมีอยู่ แต่ในเบื้องต้นยังไม่เอามาพูดดีกว่า เดี๋ยวจะพากันงงไปซะก่อน)
ตอนนี้เราพอจะเข้าใจแนวคิดคร่าวๆของการวัดมูลค่าหุ้นด้วย pe กันบ้างแล้ว ถ้าลองย้อนกลับไปอ่านที่ผมวิเคราะห์หุ้น ilink เอาไว้จะเห็นว่าผมกำหนด pe ที่เหมาะสมของหุ้น ilink เอาไว้ที่ 8 สมมติว่ากำไรที่จะเกิดในปี 49 นี้คิดเป็น e เท่ากับ 1.2 ต่อหุ้น ราคาเหมาะสมก็เอา 8 คูณกับ 1.2 ก็ได้ 9.6 บาท ดูแล้วง่ายเหลือเกิน แต่จริงๆแล้วกว่าที่จะกลายมาเป็น pe ที่ 8 กับ e (กำไรในอนาคต ณ สิ้นปี 49) ที่ 1.2 ก็มีที่มาที่จะเอามาคุยกันได้พอสมควร ติดตามตอนต่อไปครับ
####
การวัดราคาหุ้นด้วย P/E ratio 2
การใช้ pe ในการหาราคาเหมาะสมของหุ้น จะเห็นได้ว่า ตัวแปรที่มีความสำคัญมากๆคือ pe ที่เหมาะสม กับ e ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คราวนี้จะขอพูดเฉพาะ e ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกันก่อนนะครับ
e ในที่นี้คือกำไรต่อหุ้นที่จะเกิดขึ้น โดยปกติผม ถ้าอยู่ในช่วงต้นๆหรือกลางๆปี ผมก็จะคาดการณ์กำไรในอนาคตออกไปจนจบปี อย่างตอนนี้เดือน 8 เหลือเวลาอีก 4 เดือนที่บริษัทจะดำเนินงานจนครบปี ผมก็จะประมาณกำไรออกไปอีก 2 ไตรมาสก็จะได้เป็นกำไรของทั้งปี 49 ซึ่งจะประกาศผลออกมาในช่วงประมาณปลายเดือน กุมภาพันธ์ปี 50 เพราะฉะนั้น ราคาเป้าหมายของหุ้นที่คิดจาก e ตัวนี้จะเป็นเป้าหมายราคาในช่วง ปลายเดือน 2 ปีหน้า ด้วยเช่นเดียวกัน
เวลาส่วนใหญ่ในการวิเคราะห์หุ้นของผม คือการทำความเข้าใจกับธุรกิจให้เพียงพอที่จะสามารถประมาณกำไรให้ได้แม่นยำ ยิ่งแม่นเท่าไหร่โอกาสที่ผมจะถูกก็มีมากขึ้นเท่านั้น
ที่นี้คนส่วนใหญ่ก็คงจะงงว่ากำไรจะประมาณอย่างไร อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในตัวธุรกิจของหุ้นนั้นๆด้วย เราสามารถของย้อนไปดูอดีตของบริษัทว่ารายได้มีแนวโน้มเป็นอย่างไร ต้นทุนผันผวนรึเปล่า .. โดยปกติผมมักจะชอบลงทุนในหุ้นที่ผลงานไม่ค่อยผันผวนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการคาดการณ์อนาคตก็จะไม่ซับซ้อนมาก
สิ่งต่อมาที่ต้องดูคือ พยายามหาให้ได้ว่าบริษัทมีการตั้งเป้าการเติบโตอย่างไร ซึ่งหุ้นหลายตัวมักจะมีการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแนวโน้มของธุรกิจอยู่เรื่อยๆ เราก็สามารถนำตัวเลขเหล่านี้มาประมาณรายได้คร่าวๆได้ แต่จะให้ดีควรจะดู Track ย้อนหลังไปด้วยว่าในอดีตที่ผู้บริหารมีการคาดการณ์อนาคต ผลลัพธ์ที่ออกมาใกล้เคียงความจริงเท่าไหร่ เพราะผู้บริหารมีหลายประเภท พวกหนึ่งก็มักจะมองโลกในแง่ดี คือประมาณเกินความจริง อีกพวกก็อาจจะ conservative หน่อย คือประมาณไว้ต่ำกว่าความเป็นจริง อีกพวกก็อาจจะประมาณได้ใกล้เคียงความจริง หรือกลุ่มสุดท้ายคือไม่ค่อยซื่อเท่าไหร่ ออกมาให้ข่าวเพื่อสร้างราคา โดยไม่ได้มีความสัมพันธ์กับความจริงเลย
เราจำเป็นต้องนำปัจจัยเหล่านี้มาคำนึงในการประมาณรายได้ด้วย แต่ถ้าเป็นผู้บริหารกลุ่มสุดท้ายที่เชื่อถือไม่ค่อยได้ หลีกให้ห่างเลยดีกว่า ไม่ต้องไปเสียเวลาประมาณเพราะยังไงก็คงเดาไม่ถูก (ถ้าความมั่นใจในการประมาณน้อย ควรจะประมาณรายได้ให้ต่ำไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัย)
หลังจากประมาณรายได้แล้วต่อมาก็ประมาณกำไร โดยใช้ดูเอาจากอดีตว่ามีอัตราการทำกำไรเท่าไหร่ กำไรขั้นต้นเป็นอย่างไร ค่าใช้จ่ายขายและบริหารเป็นกี่ % ของรายได้ แล้วประมาณออกมาเป็นกำไร (ถ้าผู้บริหารมีการคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นมาให้ด้วย ก็สามารถเอามาใช้ได้ แต่อย่าลึมนะว่าเป็นผู้บริหารประเภทไหน)
เรื่องที่ควรคำนึงถึงในขั้นตอนนี้คือ ต้นทุน (วัตถุดิบ ค่าแรง การลงทุนในสินทรพย์ถาวร ที่จะเกิดมาเป็นค่าเสื่อมราคา ฯลฯ) มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญรึเปล่า ถ้าต้นทุนเพิ่มสูงมาก ก็ควรประมาณอัตรากำไรขั้นต้นให้ลดลงมากหน่อย ค่าใช้จ่ายขายและบริหารปกติจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้ารายได้เพิ่มขึ้น 10% ค่าขายและบริหารมักจะเพิ่มไม่ถึง 10% ถ้าไม่แน่ใจก็ประมาณให้ค่าใช้จ่ายสูงๆไว้ก่อนเป็นดี (อันนี้ขึ้นอยู่กับธุรกิจ ควรดูเปรียบเทียบจากงบการเงินในอดีตว่าค่าใช้จ่ายขายและบริหารมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเทียบกับรายได้)
หลังจากประมาณกำไรได้แล้วก็หารด้วยจำนวนหุ้น กลายเป็น eps จนจบปี แล้วก็เอามาคูณ pe ที่เหมาะสมของหุ้นนั้นๆ ก็จะได้ราคาเป้าหมายออกมาได้ไม่ยาก …. อย่าลืมที่ในขั้นตอนการประมาณถ้ามีจุดไหนที่ไม่มั่นใจให้ประมาณโดยกดให้กำไรต่ำไว้เสมอ
และที่สำคัญห้ามหลอกตัวเอง อย่ามองโลกในแง่ดีจนเกินเหตุเพราะจะทำให้เราคำนวณราคาเป้าหมายได้สูง โอกาสขาดทุนจะเยอะ ในขณะที่มองโลกในแง่ร้ายเกินเหตุอย่างน้อยก็ไม่ทำให้เราขาดทุน แค่อาจจะทำให้เสียโอกาสในการซื้อหุ้นราคาถูกเท่านั้นเอง (ยังไงเสียดายน้ำลายหก ก็ยังดีกว่าเสียใจน้ำตาตกอยู่ดี)
สำหรับผม ถ้าจะประมาณกำไรได้แม่นๆนั้น ส่วนใหญ่จะต้องมีโอกาสได้คุยกับผู้บริหารด้วย เพราะทำให้เราเข้าใจธุรกิจเค้ามากขึ้น
โดยปกติผมชอบยิงคำถามเหล่านี้ เช่น ตั้งเป้ารายได้โตกี่ % อัตรากำไรขั้นต้นจะรักษาระดับเดิมไว้ได้มั๊ย มีปัจจัยอะไรที่น่าเป็นห่วงสำหรับธุรกิจมั๊ย ฯลฯ ก็จะทำให้เราได้ข้อมูลในการประมาณกำไรได้พมสมควร นอกจากนี้การพูดคุยยังทำให้เราพอจะมองออกได้ว่านิสัยของผู้บริหารเป็นอย่างไร ขี้โม้หรือเปล่า ซื่อสัตย์รึเปล่า หรือว่า มีฝีมือรึ้เปล่า โอกาสที่จะได้คุยกับผู้บริหารก็อาจจะน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเลย ไว้จะมาเล่าอีกที่ครับ วันนี้เท่านี้ก่อนละกัน
####
การวัดราคาหุ้นด้วย P/E ratio 3
ในการเลือกซื้อหุ้นเราต้องเทียบระหว่างราคาที่เราจะจ่ายกับคุณภาพของหุ้น ยิ่งหุ้นมีคุณภาพสูง pe ที่เหมาะสมของหุ้นนั้นๆก็ควรจะสูงไปด้วยการประเมินคุณภาพของหุ้น ผมมองว่าเป็นศิลปะ ไม่มีสูตรตายตัวในการคิดออกมาเป็นตัวเลข เพราะคุณภาพนั้นมันวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ยาก ก็อาศัยใช้ประสบการณ์ฝึกดูไปเรื่อยๆก็พอจะได้ไอเดียว่าหุ้นประเภทไหนควรมี pe เท่าไหร่
โดยผมจะมี check list คร่าวๆในใจ เอาไว้ประเมินคุณภาพของหุ้นดังนี้
การเติบโตของรายได้ : แนวโน้มอุตสาหกรรม , ความสามารถของคู่แข่ง , ความสามารถในการเพิ่มยอดขายของบริษัท
ความสามารถในการควบคุมต้นทุน : อำนาจต่อรองเทียบกับ supplier , ความสามารถในการผลักภาระไปให้ลูกค้า
ความผันผวนของรายได้และกำไร : ยิ่งผันผวนมาก ผมมองว่าคุณภาพจะค่อนข้างต่ำ
ผู้บริหาร : ความซื่อสัตย์ , ความขยัน , ความเก่ง (ต้องระวังผู้บริหารที่ขี้โม้เก่งนิดนึง เพราะเราอาจจะคิดว่าฝีมือดีทั้งที่จริงๆแล้วอาจจะไม่ได้เรื่องเลยก็ได้)
โครงสร้างการเงินของบริษัท : หนี้สินเทียบกับส่วนทุน , หนี้สินเทียบกับกำไร , เงินสดที่เหลืออยู่หักด้วยหนี้สิน
ฯลฯ
จากปัจจัยต่างๆข้างต้นที่เป็นตัววัดคุณภาพ ลองพยายามประเมินออกมาให้ได้ว่าหุ้นที่เราวิเคราะห์นั้นอยู่ในกลุ่มไหน แล้วลองเอามาเทียบกับหุ้น 5 กลุ่มข้างล่างที่ผมเขียนเอาไว้
หุ้นที่มีคุณภาพแย่ (หุ้นเกรด F) กิจการที่ขาดทุน หนี้สินเยอะๆ หรือกำไรเอาแน่เอานอนไม่ได้ ปีนึงกำไร ปีนึงขาดทุน หรือพวกที่ผู้บริหารไว้ใจไม่ได้ พวกนี้ไม่ต้องประเมิน pe หรอกครับอย่าไปซื้อมันเลยดีกว่า
หุ้นที่มีคุณภาพกลางๆ (หุ้นเกรด C) หนี้สินกลางๆ รายได้และกำไรไม่ค่อยเติบโต หรือเติบโตช้าไม่เกิน 5% ต่อปี pe ควรจะอยู่แถวๆ 5-6
หุ้นคุณภาพดีพอใช้ (หุ้นเกรด B) หนี้ไม่มาก รายได้ไม่ผันผวนโตอย่างสม่ำเสมอ กำไรในอนาคตเติบโตระดับ 5-15% ต่อปี pe น่าจะประมาณ 6-9
หุ้นคุณภาพดี (เกรด A) หนี้น้อย หรือไม่มีเลย รายได้โตอย่างต่อเนื่อง กำไรในอนาคตคาดว่าจะโตในระดับ 15% ขึ้นไป pe เหมาะสมประมาณ 9-12
หุ้นสุดยอด (Super stock) หนี้น้อยหรือไม่มี รายได้มั่นคงมากและโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอ กำไรโตขึ้นในระดับ 20-30% ผู้บริหารเก่ง ขยัน ซื่อสัตย์ แนวโน้มธุรกิจดี มีอำนาจในการต่อรองต่อ supplier สูง อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่แข่งขันกันเรื่องราคาเป็นหลัก สามารถผลักภาระให้ลูกค้าได้ ฯลฯ พวกหุ้นชั้นยอดพวกนี้ pe ตั้งแต่ 12 ขึ้นไปจนถึง 20
ตัวเลขที่แสดงเป็นเพียงแค่ Guideline คร่าวๆเท่านั้นนะครับ อย่าไปคิดว่าเป็นสูตรตายตัวอะไร ที่แบ่งออกมาเป็นกลุ่มแบบนี้ผมว่าเข้าใจง่ายดี อ่าน Blog วันนี้แล้วจำเกรดของหุ้นไว้ด้วยก็ดีนะครับ เผื่อในอนาคตผมอาจจะยกเกรดเหล่านี้มาใช้ในสื่อสารให้เข้าใจได้ตรงกัน
ปล.ตามการประเมินมูลค่าหุ้นด้วย pe ก็ยังมีข้อจำกัด และข้อควรระวังหลายประการ ซึ่งจะเอามาพูดกันต่อในคราวหน้านะครับ
####
ข้อจำกัดของการใช้ pe
ที่บอกไปวันก่อนนะครับว่าการใช้ pe ประเมินราคาหุ้นยังมีข้อจำกัดอยู่บางกรณี ผมจะขอยกตัวอย่างให้ดูกันนะครับ
มีอยู่ช่วงนึงที่หุ้นกลุ่มเดือนเรือวิ่งขึ้นกันกระจาย ตอนนั้นเองผมก็เล่นไปกับเค้าด้วย แต่ตอนนั้นยอมรับครับว่าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ อาศัยเล่นตามๆเค้าไป เห็นเค้าบอกว่าค่าระวางเรืออยู่ในช่วงขาขึ้น psl หุ้นเรือเทกอง วิ่งจากประมาณ 6 (ปรับการแตกหุ้นแล้ว) ไปถึง 50 กว่าบาท หุ้น tta วึ่งจาก 10 บาทไป 40 บาท ตอนนั้นผลประกอบการของกลุ่มเรือออกมาดีจนน่าใจหาย กำไรพุ่งพรวดเป็นประวัติการณ์ แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปพักนึง ค่าระวางเรือเริ่มไหลจากจุดสูงสุดลงมาเรื่อยๆ ราคาของหุ้นเดินเรือก็ไหลลงตามเช่นเดียวกัน psl ไหลจาก 50 ลงมา เหลือ 30 กว่าๆ (ผมขายไปแถว 35-38 บาท) tta ก็ไหลลงมาเหลือ 20 กว่าๆ เพราะคนส่วนใหญ่มองว่าอนาคตของกลุ่มเดินเรือจะไม่หรูหราเหมือนงบที่ประกาศออกมาอีกแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเดินเรือข้างต้น ก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดในตลาดหุ้นที่ธุรกิจก็มีขึ้นมีลง ราคาหุ้นก็มีขึ้นมีลง เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่คนเล่นหุ้นอย่างเราต้องยอมรับกันแต่มีเรื่องที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เราสามารถใช้ pe ในการวิเคราะห์หุ้นเรือได้รึเปล่า?
เนื่องจากค่าระวางเรือที่เพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงนั้นทำให้ผลประกอบการที่ผ่านมาของกลุ่มเรือสูงมาก การใช้ pe ที่คำนวณจากผลประกอบการในอดีต (ที่เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์) จะทำให้หุ้นกลุ่มนี้มี pe ต่ำมากๆ บางตัวอาจจะมี pe เพียงแค่ 3-4 เท่านั้น แต่หุ้นเรือนี้ราคาถูกจริงรึเปล่า? ผมว่าเนื่องจากความเป็นวัฏจักรของธุรกิจเดินเรือที่จะมีช่วงที่ ค่าระวางเพิ่มขึ้นสูงจนกำไรดีมาก และช่วงที่ค่าระวางลดลงจนถึงกับทำให้บริษัทเหล่านี้ขาดทุนได้ง่ายๆ ถ้าค่าระวางเรือเป็นขาลง ผลกำไรของกลุ่มจะลดลง จนทำให้ e ที่ใช้คำนวณนั้นลดลง ถ้าหุ้นราคาไม่ลง pe ก็จะทำให้ pe นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากหุ้นก็จะมีถูกอีกต่อไป ใครซื้อเข้าไปตอน pe ต่ำๆก็อาจจะขาดทุนได้ง่ายๆเหมือนกัน
โดยสรุปแล้วจะเห็นว่าหุ้นที่เป็นวัฏจักรรายได้มีช่วงขาขึ้นและขาลง การใช้ pe ประเมินราคาไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมนัก เพราะหุ้นที่ดูเหมือนราคาถูกอาจจะกลายที่ราคาแพงขึ้นมาได้ทันทีที่ผลกำไรของบริษัทลดลงตามวัฏจักร
ปล. ผมไม่ได้บอกว่าหุ้นเรือไม่ดีนะครับ เพราะที่ผ่านมาหุ้นก็วิ่งขึ้นลงตามดัชนีค่าระวางเรือที่ผันผวนมาตลอด การจะทำกำไรจากหุ้นเรือได้คงต้องเข้าใจธุรกิจนี้เป็นอย่างมากพอที่บอกได้ว่าค่าระวางเรือจะเป็นอย่างไหรในอนาคต (ซึงยากเอามากๆ) อย่าลืมนะครับ สำหรับหุ้นที่เป็นวัฏจักร (พวกเรือ เคมี ปิโตรเลียม ฯลฯ) อย่าเผลอไปใช้ pe ในการประเมินราคา ไม่งั้นเดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน
การวัดราคาหุ้นด้วย P/E ratio
Yoyo’s Value Investing Way
โดย สันติ สิงหวังชา

ครบเครื่องเรื่อง PE จาก Analyzing Companies and Valuing Shares

ครบเครื่องเรื่อง PE จาก Analyzing Companies and Valuing Shares


PE
เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดและมีประโยชน์ในการคิดหามูลค่าหุ้น ( valuation )
วิธีคำนวณ ก็ เอาราคาหุ้น (price) หารด้วย กำไรต่อหุ้น(earning per share) ค่าที่ได้ก็จะออกมาว่าเป็นจำนวนกี่เท่าซึ่งค่านี้บอกว่าต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะคุ้มทุน
กำไรต่อหุ้น คำนวณจาก กำไรหลังหักภาษี หารด้วย จำนวนหุ้น
แม้ว่าค่านี้จะอาศัยข้อมูลในอดีตมาคิด แต่ PE ก็สามารถใช้ forecast EPS มาคิดได้ ซึงก็มีประโยชน์อย่างมากในการคำนวณ valuation
เวลาดู PE ต้องดู 2 อย่างควบคู่กันไป
1. growth of earning
2. quality of earning
การที่ดูอะไรอย่างเดียว อาจทำให้คำนวณผิดได้ ต้องดูด้วยว่า growth ที่ได้มา มาจากอะไร ไม่ได้มาจากกำไรพิเศษ ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
ปกติ PE ต่ำๆ จะน่าสนใจกว่า PE สูงๆ แต่ก็ไม่เสมอไป มีหลายสถานะการณ์ที่ PE ต่ำๆ แต่ไม่ได้หมายความว่า หุ้นน่าสนใจหรือหุ้นถูก
สถานะการณ์ที่ทำให้ PE ต่ำ แต่ไม่น่าสนใจ เช่น
1. uncertainly over a company's prospects for earning
2. a highly cyclical sector
3. company serving volatile markets
4. a sector with overcapacity and weak pricing power
5. a sector or company with consistently low returns and not adding economic value
6. a mature sector, with little prospect of growth
7. a company which is ex growth
8. poor management
9. poor cash generation
9. week balance sheet
ในทางกลับกัน หุ้นที่มี PE สูง ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นมีราคาแพงเสมอไป
สถานการณ์ที่ทำให้ PE สูง แต่ไมได้หมายความว่าหุ้นแพง
1. companies with an excellent growth record and prospects for growth
2. a high-growth sector
3. high confidence in the company's forecasts
4. predictable/stable revenues
5. strong market shares
6. high barriers to entry
7. companies that have strong pricing power
8. companies that have high margins and produce excellent ROCE and add value
9. strong cash generation
Re-ratings and de-ratings
เมื่อคุณหาหุ้นที่มี PE ต่ำๆได้ ถ้าบริษัทนี้ดูแล้วน่าจะดีกว่า rating ที่มีอยู่ตอนนี้ คุณก็อาจจะปรับ rating ใหม่ขึ้นไปได้เรียกว่า re-ratings เช่นบริษัทตอนนี้มี PE อยู่ เท่ากับ 8 แต่คุณคิดว่าบริษัทนี้ PE น่าจะอยู่ ที่ 10 ก็แสดงว่าราคาหุ้นยังสามารถ upside ได้อีก 25%
แต่คุณก็ต้องมั่นใจในการประเมินของคุณนะครับ
ปัจจัยที่กระตุ้นทำให้เกิด re-ratings ก็คือผลการดำเนินงานเป็นไปตามที่คาดหวังหรือมากกว่าที่คาดหวัง
เช่นเดียวกัน de-ratings ก็คือการปรับ rating ให้ต่ำลงมาเนื่องจากคิดว่า PE ของบริษัทน่าจะต่ำกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
ข้อดีข้อเสียของ การใช้ PE
ข้อดี ของการใช้ PE
1. ง่ายต่อการคำนวณ
2. ใช้กันอย่างแพร่หลาย
3. สามารถใช้ forecast มาคำนวณได้
4. earning เป็นค่าที่วัดในส่วนของผู้ถือหุ้น
ข้อเสียหรือข้อควรระวัง ของการใช้ PE
1. ไม่ได้นำ หนี้มาคำนวณ
2. gearing up/ หรือการซื้อหุ้นคืน ทำให้ earning สูง ทำให้ ตกแต่งค่า PE ได้
3. การนำมาเปรียบเทียบต้องระวัง นโยบายทางบัญชีของบริษัทหรือประเทศที่ต่างกัน
4. ไม่สามารถนำมาใช้ในพวก loss-making early-stage growth หรือ cyclical business
5. ไม่ได้นำ cash generation มาคำนวณ
6. ไมได้นำ investment returns มาคำนวณ
PE relative
คือนำค่า PE ของบริษัทมาเที่ยบกับ PE ของตลาด
เช่น PE ตลาดเท่ากับ 20 PE บริษัทเท่ากับ 15 ก็แสดงว่ามี relative = 75%
แต่ถ้า PE บริษัท เท่ากับ 30 แสดงว่ามี relative = 150%
บริษัทที่มี relative มากกว่า 100 มักจะเป็นบริษัทที่ถูกคิดว่าน่าจะมี growth และ quality ที่ดีกว่า ตลาดโดยรวม
ข้อดีข้อเสีย ของ PE relative ก็เหมือนกับ PE
ขอบคุณครับเป็นข้อมูลที่ให้ความรู้ดีมากและเป็นประโยชน์มากครับ ผมเลยของอนุญาตขยายความต่อจากเนื้อหานะครับ
สถานะการณ์ที่ทำให้ PE ต่ำ แต่ไม่น่าสนใจ เช่น
1. uncertainly over a company's prospects for earning
อย่างจะเห็นได้ว่าช่วงนี้หุ้น bank หรือ finance จะมี P/E ต่ำเพราะมีความไม่แน่นอนเรื่องแผนแม่บทและการควบรวมกิจการ รวมถึงปัญหา NPL ที่อาจจะต้องทำให้บางธนาคารต้องตั้งสำรองเพิ่ม
หรือหุ้นประเภทที่ต้องขึ้นกับโชคชะตา ดินฟ้าอากาศ โรคระบาด เช่นหุ้นกลุ่มเกษตรก็เข้าข่ายครับ
2. a highly cyclical sector
อย่างกลุ่มปิโตรเคมีหรือ cyclical อื่นๆ ก็ไม่ควรจะได้ P/E ที่สูงครับ
3. company serving volatile markets
อาจจะเป็นกลุ่มอิเลคทรอนิกส์และหุ้นส่งออกครับ
4. a sector with overcapacity and weak pricing power
ช่วงนี้ตลาดเมืองไทยไม่ค่อยมีภาวะ oversupply เท่าไหร่แล้ว แต่หุ้นประเภทรับจ้างผลิตก็มักจะมี pricing power ต่ำครับ เช่น อิเลคทรอนิกส์ หรือหุ้นที่มีหน้าตาสินค้าเหมือนๆ กันหมด เช่น พวกหุ้น commodity ทั้งหลาย
5. a sector or company with consistently low returns and not adding economic value
economic value added จะเกิดขึ้นเมื่อ roe มากกว่า cost of equity หรือ roce สูงกว่า cost of capital ( WACC ) ดังนั้น sector ไหนที่ roe ต่ำทั้ง sector ก็จะเข้าข่ายนี้ครับ หากให้ cost of equity ตอนนี้ซัก 10-12% หากหุ้นตัวไหน roe ต่ำกว่านี้ติดต่อกันนานๆ ก็เข้าข่ายครับ หุ้นหลายตัวที่ bv สูงเพราะเก็บเงินสดไว้เยอะๆ ไม่ปันผลมักจะมี roe ต่ำครับ
6. a mature sector, with little prospect of growth
ก็น่าจะเป็นสิ่งทอนะครับ
7. a company which is ex growth
อันนีไม่แน่ใจว่า ex ย่อจากอะไรนะครับ
8. poor management
ก็มีอยู่ให้เห็นเยอะครับอันนี้คงต้องอาศัยประสบการณ์ในการลงทุนไปเรื่อยๆ ครับ ประเภทที่กู้เงินธนาคารหรือเอาเงินที่ควรจะจ่ายปันผลออกไปมาให้บริษํทในเครือกู้อันนี้ก็ชัดเจนครับ หรือประเภทชอบลงทุนในธุรกิจที่ตนเองไม่ถนัดหรือ diworsification ครับ
9. poor cash generation
อันนี้คงโทษผู้บริหารไม่ได้ทั้งหมดบางที่เป็นธรรมชาติธุรกิจ หุ้นประเภทนี้ก็มักจะ p/E ต่ำครับ เช่น หุ้นประเภทที่ a/r ( account receivable ) day สูงกว่า a/p ( account payable ) day มากๆ หรืออธิบายง่ายๆ คือ ต้องจ่ายเงินค่าวัตถุดิบไปเร็วกว่าที่จะเก็บเงินได้ครับ หุ้นพวกนี้เวลาจะเพิ่มยอดขายทีจะต้องใช้ working capital สูงมากครับ
9. week balance sheet
ก็เป็นหุ้นที่หนี้มากครับ และอาจจะมีการวางแผนทางการเงินไม่เหมาะสมทำให้เสี่ยงกับการขาดสภาพคล่องทางการเงินครับ
ในทางกลับกัน หุ้นที่มี PE สูง ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นมีราคาแพงเสมอไป
สถานการณ์ที่ทำให้ PE สูง แต่ไมได้หมายความว่าหุ้นแพง
1. companies with an excellent growth record and prospects for growth
2. a high-growth sector
3. high confidence in the company's forecasts
ก็เป็นหุ้นที่ขายสินค้าที่ทุกคนต้องใช้และต้องกลับมาซื้อใหม่เรื่อยๆ ทำให้ความผันผวนของกำไรต่ำครับ อย่างหุ้นส่งออกจะไม่เข้าข่ายนี้แน่นอนครับเพราะว่านักลงทุนอย่างเราคาดการณ์อะไรยากเพราะเราไม่มีโอกาสเห็นการผลิตและ order ของเค้าครับ
4. predictable/stable revenues
5. strong market shares
ก็มักจะเป็นหุ้น blue chip หลายตัวที่มี mkt share อันดับ 1,2 แต่หุ้น small cap หลายตัวก็มี mkt share อันดับ 1 ใน segment หรือ industry ของตัวเองได้ครับ
6. high barriers to entry
อย่างหุ้นบันเทิงหลายตัวก็เข้าข่าย เช่น bec major เพราะการเข้ามาทำได้ยาก หุ้นมือถือก็น่าจะใช่ครับเพราะหากจะมีใครเข้ามาใหม่ต้องลงทุนสูงถึง 40,000-50,000 ล้าน หุ้นพลังงานหลายตัวก็ใช่เพราะคงไม่มีใครมาแข่งกับ ptt ในธุรกิจท่อก๊าซได้
7. companies that have strong pricing power
เมืองไทยไม่ค่อยมีหุ้นที่เป็น monopoly โดยธรรมชาติธุรกิจครับ นึกไม่ค่อยออกเหมือนกันครับ ถ้าเอากิจการนอกตลาดที่นึกออกน่าจะเป็นพวกร้านอาหารญี่ปุ่น fuji มั้งครับ บางอย่างต้นทุนก็ไม่น่าแพงแต่ก็ขายแพงจังแต่เราก็ยอมกิน อ้อ cpn หรือ mbk-pd ก็อาจจะมองว่ามี pricing power ค่อนข้างสูงได้ครับเพราะทำเลที่ตั้งดีและห้างดีๆ ก้มีไม่มากครับ หรือ LH ก็อาจจะมี pricing power บ้างเพราะสามารถขายบ้านได้แพงกว่าชาวบ้านทั้งๆ ที่ทำเลเดียวกันและเนื่อที่เท่ากัน
8. companies that have high margins and produce excellent ROCE and add value
มีหลายตัวครับ ก็ได้แก่หุ้นที่ roe สูงทั้งหลาย อันนี้หมายถึงจะต้องมี roe สูงเฉลี่ยติดกันหลายๆ ปีนะครับ เพราะหุ้น cyclical จะมี roe สูงตอนที่ cycle ดีและจะขาดทุนตอน cycle แย่ หากดู roe ปีเดียวจะได้หุ้น cyclical เข้ามา
9. strong cash generation
ก็ตรงข้ามกับเมื่อกี้ หุ้นพวกนี้คือหุ้นที่ขายเป็นเงินสดและซื้อสินค้าเป็น credit term ข้อดีคือยิ่งยอดขายเพิ่ม cash flow ยิ่งเพิ่มคือ ไม่ใช้ working capital เลย หุ้นประเภทนี้ได้แก่หุ้นค้าปลีก อย่าง makro bigc se-ed hmpro 7-11 และหุ้นบางตัวที่มีลูกค้าเป็นคนทั่วๆ ไปอย่างเราๆ และต้องจ่ายเงินสดทันที่ที่ซื้อสินค้าหรือบริการ เช่น major egv ครับ
Cr.ไลน์