วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สูตรแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย สำหรับนักลงทุนมือใหม่

พอรท์เล็กๆ ควรเน้นลงทุนแบบโฟกัส  1-2ตัว ตามนี้
ลงทุนในหุ้น 3กลุ่ม  
1.คอมโมดิตี้
2.หุ้นเติบโต หรือ Growth stock
3.Turn around stock  หรือหุ้นเทินอะราวด์

ตามหลัก กำไรทบต้น หรือ compounding  ถ้าคุณทำผลตอบแทนได้ครั้งละ 30เปอเซ็นต์ ทบต้น3ครั้ง พอรท์จะขยายตัวได้ 1เท่าของเงินต้น

ดังนั้นถ้าใน1ปี คุณเลือกหุ้นและทำกำไรได้ 30เปอเซ็นต์ 3ตัวต่อปี  คุณจะมีความมั่งคั่งแบบทบต้น กล่าวคือ ปีแรกจะได้ 1เด้ง และปีต่อๆมาเงินจะเพิ่มแบบก้าวกระโดด

วิธีการมองหาหุ้น ในปัจจุบัน  แบ่งเป็น

1.ชาวสวน  หรือ contarian  มักลงทุนในกิจการที่ราคาลดลงมามาก  บางครั้งแนวทางนี้ก้นำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น
หุ้นที่พื้นฐานเปลี่ยน หุ้นที่ตกเทรนด์ ตะวันตกดิน  ถ้าซื้อแบบชาวสวน ติดดอยหมด
ชาวสวนจะใช้ประโยชนได้ใน  หุ้นที่กระทบครั้งเดียว หรือ หุ้นที่กิจการดีแต่มีผลกระทบที่เกิดครั้งเดียว one time

2.ชาวไล่  หรือ momentum trader มักเห็นราคาตัวไหนขึ้นแรงๆ แล้วกระโดดเกาะรถขึ้นไป โดยไม่ดูปัจจุยพื้นฐาน หรือกราฟ  ชาวไล่จะพลาดตรง ชาวไล่ไม่สนว่า ราคาขึ้นมาจากไหน ถ้าราคาวิ่งตามทันที จึงมีโอกาศติดดอยมาก
วิธีที่ลงทุนได้ผลสำหรับชาวไล่  คือ ต้องลงทุนในช่วงราคากำลังขึ้นแรกๆ ตามหลักโมเมนตัม แล้ว ราคาที่ขึ้นไปย่อมสะท้อนผลประกอบการในอนาคต


3.ชาวประมง หรือ value investor  ชาวประมงจะเน้นมองที่พื้นฐานกิจการ มองอนาคตของกิจการ ก้เหมือนกับชาวประมงที่ ต้องออกเรือไปพร้อมเครื่องโซน่าร์ ดูว่าตรงไหนมีปลา แล้วก้จะได้ปลา มีความเชี่ยวชาญในการมองปลาว่า ปลาเล็กหรือปลาใหญ่   ตรงไหนน้ำลึก ตรงไหนน้ำตื้นความเชี่ยวชาญในการมองว่า มีพายุหรือเปล่า  ควรเข้าฝั่งตอนไหนชาวประมงที่เชี่ยวชาญมาก จะต้องเป็นไต๋เรือ เกิน10ปีขึ้นไปสั่งสมประสบกาม จากหลายๆที่  เคยผ่านทั้งการโจมตีจากพายุ และโจรสลัดมาแล้วผ่านวิกฤติร้ายๆมาได้ อย่างน้อย 3ครั้งขึ้นไป  จึงจะเป็นไต๋เรือที่เก่ง

4.โจรสลัด หรือ  speculator  จะเป็นกลุ่มนักลงทุนสายเทคนิค  ที่มองการเข้าออกด้วยกราฟล้วนๆไม่มีปัจจัยพื้นฐาน  โจรสลัดจะมองหาเหยื่อที่น่าจะสร้างกำไรให้ได้ หลังจากนั้นก้จะปล้นหุ้นแล้ว เกาะตามเจ้าของไป พอเจ้าของหมดมือ โจรสลัดก้ทิ้งหุ้นตามเจ้าของทันที

วิธีการนี้เป็นอีกวิธี ที่ได้รับความสำเร็จ  เพราะ โจรสลัดจะไม่รอตี4 แบบชาวประมง แต่จะเกาะไปตอน6โมงเช้า รถออกพอดี แล้วนั่งรถไปกับชาวประมง ประหนึ่ง  พวกเดียวกัน ไปไหนไปกัน ฉันรักเธอ  ถ้าน้ำแตกฉันก้แยกทาง


ปัญญหาคือจะรู้ได้ไง หุ้นตัวไหนมันจะ Turn around
       เราก้ต้องมองให้ออกก่อนว่า เป็นหุ้นประเภทไหนครับ   เหมือนเอากระเทยมานั่งกับผู้หญิง  เราจะดูยังไงว่าคนไหน ญแท้ คนไหนญเทียมเป็นคุณจะทำยังไงครับ  จะแยกยังไงถึงจะรู้ว่าคนไหน ญแท้ ญเทียม แก้ผ้าไหม หรือดูบัตรประชาชน 
      ตามหลักของปีเตอร์ ลินซ์  ถ้าคุณมีหุ้นตัวนึงแล้วคุณบอกไม่ได้ว่าเป็นหุ้นประเภทไหน แปลว่า คุณยังไม่สามารถแยกออกระหว่า งกระเทยกับผู้หญิง ดอกไม้กับวัชพืช  หุ้นโตช้าหรือหุ้นโตเร็ว  หุ้นเทินอะราวด์  หุ้นคอมโมดิตี้
      เหมือนคุณถามว่า อยากซ่อมรถเป็น  แต่คุณไม่รู้ว่า  รถประกอบด้วยอะไรบ้าง เสียตรงไหนบ้าง แต่ละอันซ่อมยังไง ถ้าแบตหมด ก้เปลี่ยนแบต   ถ้าสายพานขาดก้เปลี่ยนสายพาน  ถ้ายางแตกก้ต้องปะยาง

รู้ได้ไงว่าเทินอะราวด์  งั้นมาเริ่มกันเลย

เทิน คือ เลี้ยว   //////อะราวด์ แปลว่า  รอบๆ

เทินอะราวด์คือ หุ้นที่เคลื่อนไหวเป็นวงกลม  นิยามนี้ถูกต้องแล้ว  ตามวัฎจักรของกิจการเริ่มจาก
1.เริ่มก่อสร้าง  

2.ดีและเติบโต  
3.หยุดเติบโต  
4.เสื่อมถอย เหมือน วัฎจักรของมนุษย์
       ยกตัวอย่าง ผมขายลูกชิ้น แล้วเจ๊ง แล้วเปลี่ยนมาขาย ก๋วยเตี๋ยวแล้ว รวยขึ้น มานี่ก้เทินอะราวด์
คารมารท์ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าไดสตาร์ไม่รุ่ง มาขายเครื่องสำอางรุ่งก้เทินอะราวด์
เอม เปลี่ยนธุรกิจมาทำ เครื่องมือแพทย์นี่ก้เทินอะราวด์
แต่กิจการประเภท เทินอะราวด์นั้น  มีแค่ ร้อยละ10 ที่กลับมาได้ แบบที่ วอเรนท์บัฟเฟตได้พูดไว้เกี่ยวกับหุ้นเทินอะราวด์ว่า  turnaround seldom turn  คือ ไอ้คนทำกิจการเจ๊ง เด๋วเปิดกิจการใหม่มันก้เจ๊งอีก turn around pattern 

1.V shape กิจการแย่ แต่กลับมาได้รวดเร็ว  เจ๊งชั่วคราวไม่ค้างคืน
2.U shape กิจการแย่ กว่าจะฟื้นก้นานหน่อยแต่ฟื้นจริง
3.L shape กิจการแย่ แล้วโอกาศพื้นยังไม่เห็น
4.W shape ดีๆแย่ๆ ปะปนกันไป เหมือนจะไม่ฟื้นแต่ก้ฟื้น  เหมือนฟื้นแต่ก้ไม่ฟื้นการเลือกหุ้นที่มองว่าจะเทินอะราวด์มองจากอะไร


1.กิจการต้องขายธุรกิจเก่าออกไปก่อน  เพราะธุรกิจเดิมขาดทุนทำไปก้ไม่รุ่ง 
2.ล้างขาดทุนสะสม เสียก่อน  โดยลดพาร์  เพิ่มทุน แล้วเอาทุนใหม่ไปลงทุนตามข้อ3
3.ลงทุนธุรกิจใหม่  ถ้าเห็นแล้วว่า ธุรกิจนั้นทำกำไรได้แน่นอน รายได้มั่นคง นั่นคือ เทินอะราวด์เต่าหมุน
โดยจะมี แฟคเตอร์อ้างอิงดังนี้
      ธุรกิจที่ขายธุรกิจเก่าออกไป ผู้บริหารซื้อหุ้นครั้งละมากๆ มากกว่าที่ถืออยู่เดิม  มีการล้างขาดทุนสะสม  และเปลี่ยนแผนธุรกิจใหม่คือ หุ้นเทินอะราวด์ครับ 
แยกให้ออกครับ ปีเตอร์ลินซ์ บอกแล้ว  คุณจะมาลงทุนในหุ้นคุณต้องแยกให้ออก กระเทยกับญแท้ ดอกไม้กับวัชพืช  

1.หุ้นเติบโตช้า โตหลักเดียว
2.หุ้นเติบโตเร็ว โตสองหลัก
3.หุ้นเทินอะราวด์  เปลี่ยนธุรกิจแล้วกลับมากำไร
4.หุ้นคอมโมดิตี้  คือ หุ้นโภคภํณฑ์  แบ่งเป็น  
hard commodity  อะไรแข็งๆ ใช่หมด ทองคำเงิน ทองแดง สังกะสี เหล็ก  
soft  commodity  อะไรไม่แข็ง ใช่หมด  ข้าว อ้อย น้ำตาล มันสำประหลัง
cyclical  อะไรมีรอบใช่หมด  เรือ ฟิลม์  
economic  stock cycle   เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ถ้าดีมันมาแน่  กลุ่มยานยนต์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์
5.หุ้นแข็งแกร่ง  บริษัทที่แข็งแกร่ง มีมูลค่ากิจการมากกว่า1000ล้าน ขายสินค้าที่ต้องกินใช้  เช่นค้าปลีก
6.หุ้นมหาสมบัติ  คือ หุ้นที่กิจการมี ทรัพย์เจ้าคุณปู่มาก ทรัพย์สินมากกว่าราคาหุ้น เช่น MBK CSR  CPI
ต่อนะครับ หุ้นเติบโต

    หุ้นเติบโต คืออะไร   หุ้นก้คือหุ้น เติบโตก้แปลว่า โต  การโตก้เหมือนคนเรา ตั้งแต่เด็กแขนขาก้เล็กตัวก้เล็ก นมก้เล็ก  พอโตขึ้นเป็นวัยรุ่นนมก้เริ่มแตก ตัวก้เริ่มโต  พอเริ่มเป็นวัยทำงานก้โตเต็มวัย  พอแก่ก้เริ่มหยุดโต แล้วก้ตาย สาธุ

แบ่งออกเป็น 3ประเภท

1.หุ้นโตช้า  slow  growth  อัตราโตแค่หลักเดียว  โตเรื่อยๆ ไม่รีบ โตเต่าคลาน
2.หุ้นโตเร็ว   fast growth อัตราการเติบโต2หลัก โตเร็วเหมือน เร่งยา  ส่วนมากเป็นอุตสาหกรรมที่เพิ่งเกิดใหม่ๆและประสบวามสำเร็จ เช่นเฟตบุ๊ค
3.หุ้นไม่โต หรือ zero growth  กิจการมีแค่นั้น  ไม่คิดขยายเพิ่ม รายได้เสมอตัวตลอด ลูกค้ากลุ่มเดิมๆ มักอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นแม่วัว  cash cow
ดูยังไงว่ามันโต โต มีแบบไหนบ้าง

โตไม่ต้องไปคิดมาก ท่องไว้  รายได้มากขึ้น  กำไรมากขึ้น ปันผลมากขึ้น  แสดงว่าโต  ถ้าโตต่ำกว่า2หลัก ถือว่าโตช้า  ถ้าโต2หลักแปลว่าโตเร็ว

ดูว่ากิจการนั้น ทำอะไร แล้วยังเป็นที่ต้องการอีกหรือไม่  
      ผมจะขออนุญาติลงรูปเอาไว้ ให้พิจารณา ในการหาหุ้นโกรท  หรือหุ้นเติบโต  มักเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นดาว  หรือสตาร์

คือ ส่วนแบ่งการตลาดจะต้องมาก และการเติบโตจะมาก  ถือว่าเป็นหุ้นโกรท หรือ ดาวเด่น

ถ้าส่วนแบ่งการตลาดมาก แต่อุตสาหกรรมไม่โต ก้จะเป็นหุ้นที่ รายได้ค่อนข้างแน่นอน อย่างธุรกิจ สนามกลอฟ์ ธุรกิจตะวันตกดิน

จะเป็นพวกปันผลเด่นหรือ แคชคาว หุ้นห่านทองคำ หุ้นวัวที่ให้น้ำนม

-โต  โตจากอะไร  แล้วมองไงว่าโตยั่งยืน

การเติบโต ควรเป็นการเติบโตแบบสูง  คือ รายได้จากการดำเนินงานโตขึ้น ทุกปี ไม่ใช่กำไรพิเศษหรือกำไรอื่นๆ  ถ้าเป็นการโตแบบ

มีกำไรพิเศษเช่น ขายบริษัท หรือ ได้เงินชดเชย  แบบนี้ ถือว่า  โตแบบอ้วน  คือ พอไม่มีเงินชดเชยหรือรายได้นั้นแล้ว  บริษัทกำไรลดลง

การที่จะโตยั่งยืนได้  คือ การที่ สินค้าและบริการนั้น  ต้องใช้ต่อไปมากขึ้นๆ  โดยใช้ซ้ำๆ จึงจะมีโอกาศกลับมาใช้ใหม่ได้

เช่น ซีพีออล 7/11 ตอนสมัย10ปีก่อน มีกี่สาขา พอตอนนี้กี่สาขา สาขาที่เปิดมากขึ้น  ทำให้รายได้มากขึ้น  กำไรมากขึ้น  มีอำนาจต่อรอง

มากขึ้น 

-หาหุ้นยังไง ให้เจอหุ้นโกรท 

แนะนำว่า ถ้าเป็นสินค้าและบริการ  คุณต้องออกไปสัมผัส  เมื่อคุณเห็นอะไรขายดีมุงกันมากๆ คุณไปดูเลยกิจการชื่ออะไร มีกี่สาขาแล้ว

แล้วคู่แข่งเค้ามีมากหรือน้อย ราคาสินค้า คุณภาพสินค้าสมเหตุผลไหม  ราคาหุ้นในตลาดเป็นยังไง ถูกหรือแพง

การขยายสาขาในอนาคต การออกต่างประเทศ  การเพิ่มไลน์สินค้า  หรือ ความซื่อสัตย์ต่อสินค้าเป็นยังไง  สินค้ามีอะไรใหม่ๆตลอดไหม

การบริการเป็นยังไง  แล้ว ภาพลักษณ์ในสายตาผู้ใช้เป็นยังไง

ผมว่าหุ้นโกรทเป็นหุ้นที่ดูง่าย  มันมากับกลุ่มเทรนด์อุตสาหกรรม ตลอด และมักจะตามเพื่อนบ้านที่เจริญแล้ว เช่น อุตสาหกรรมค้าปลีก

อุตสาหกรรมโรงพยาบาล  ที่เข้ากับเทรนด์  รายได้มากขึ้นและการเจริญขึ้นของประเทศและการมีผู้สูงอายุมากขึ้น

หรือไม่ก้มักเป็นหุ้นที่อยู่รอบๆตัวเรา  ที่เรากิน เราใช้สินค้าครับ

เมื่อยละ พรุ่งนี้เด๋วมาต่อ หุ้นคอมโม  หุ้นโกรทผมไม่ถนัดมาก ถ้าอยากเรียนรู้หุ้นโกรท แนะนำติดต่อ หาความรู้จากคุณ คเชนทร์ครับ

พี่ invisible hand เพราะเนื้อหาแน่นกว่าผมมาก  ยังต้องเรียนอีกมากทั้ง FF model   ///และโมเดลธุกริจอื่นๆ


วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

“วิธีการลงทุนและเทคนิคการปรับพอร์ตของ” : พี่โจ ลูกอีสาน



“วิธีการลงทุนและเทคนิคการปรับพอร์ตของ” : พี่โจ ลูกอีสาน

“วิธีการลงทุนและเทคนิคการปรับพอร์ตของ” : พี่โจ ลูกอีสาน



วิธีการเรียบง่ายที่ผมใช้ทำมาหากินแทบทุกครั้ง จะเป็นอย่างนี้ครับ..
1. หา P/E ที่เหมาะสมของแต่ละบริษัท บริษัทไหนที่คาดการง่ายหน่อย กำไรโตเรื่อยๆ ปันผลดี พวกนี้จะ P/E สูงเหมือนพวกค้าปลีก โรงพยาบาล เป็นต้น ส่วนพวกที่ด้อยกว่า เช่น พวกรับเหมา ก็ให้ P/E ต่ำๆ
2. หา P/E ในอนาคต(อันใกล้)ของบริษัทที่เราสนใจ นี่หมายความว่าเราต้องประมาณกำไรของกิจการได้ เราจะทำได้ต้องหาข้อมูลเพื่อประเมินกำไรให้ผิดพลาดน้อยที่สุด
3. หาส่วนต่างของ P/E ที่เหมาะสม และ P/E ที่จะเกิดขึ้นจริง เช่น เราประเมินว่าบริษัทนี้ควรมี P/E 15 เท่า แต่เราประเมินแล้วราคาตลาดวันนี้หรือในอนาคตใกล้ๆนี้ P/E แค่ 7 เท่า นั่นแสดงว่า ราคาตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 50% (มี margin of safety 50%) อย่างนี้น่าสนใจครับ ปกติต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นซัก 30% ผมก็สนใจแล้ว
ผมมีความเชื่ออย่างนี้นะ..
*ระยะยาว หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดเสมอ
*ตลาดเหมือนฤดูกาลที่มีทั้งรุ่งเรืองตกต่ำ หน้าหนาว-หน้าร้อน ขอให้เราเข้าใจและหาประโยชน์จากความจริงข้อนี้
*นักลงทุนเอกของโลกทุกคน เคยผ่านวิกฤติมาแล้วหลายครั้ง หนักหนากว่านี้ก็มี ถ้าหยุดลงทุนก็คงไม่มีวันนี้ แม้แต่ ดร.นิเวศน์ ท่านเริ่มลงทุน 10 ปีที่แล้ว ตอนที่ดัชนีประมาณ 800 จุด ท่านได้ผลตอบแทน 30 เท่า ทั้งที่วันนี้ดัชนีตลาดต่ำกว่า 10 ปีที่แล้ว
*ผมพูดเสมอๆว่า ตรรกะของการทำกำไรจากหุ้นคือ ซื้อถูกขายแพง คำถามต่อไป แล้วเราจะขายได้แพงตอนตลาดเป็นแบบไหน และหากเราจะซื้อของให้ได้ราคาถูก เราจะซื้อได้ตอนที่ตลาดเป็นอย่างไร
*การขายหุ้นและเลิกลงทุนตอนตลาดตกต่ำ เป็นการละเมิดศีลที่สำคัญที่สุดของนักลงทุน vi เพราะนั่นหมายความว่า เราจะไม่มีโอกาสได้กำไรกลับคืนตอนตลาดกลับไปรุ่งเรืองเลย
*มองไปวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า 5 ปี 10 ปีข้างหน้า แล้วทุกอย่างในวันนี้มันจะผ่านไป
*อย่าให้อารมณ์ของตลาด มาหยุดความมุ่งมั่นในการลงทุนของเรา อย่าทำให้เราหมดกำลังใจที่จะทำการบ้าน ศึกษาหาความรู้
*เราลงทุนวันนี้ ไม่ใช่เพื่อให้รวยพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ แต่เพื่อ 10 ปี 20 ปีข้างหน้า
*เราจะรู้ว่าใครแก้ผ้า ก็ตอนน้ำลด
ผมแนะนำครับ..
1. หามูลค่าที่เหมาะสมเสียก่อน พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ
2. ดูราคาในตลาด ว่าสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่เราคำนวณได้
3. ตัดสินใจ ซื้อหรือขาย
ผมมองว่าที่หลักการลงทุน vi เติบโตเด่นได้รับความนิยมขึ้นมา ไม่ใช่เพียงเพราะมีตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่เป็นเพราะความเป็นเหตุเป็นผลของมัน คือหุ้นจะขึ้นจะลงเพราะมีเหตุผลทางธุรกิจ ไม่ใช่หุ้นจะขึ้นเพราะหลายคนบอกว่าจะขึ้น และมันจะลงเพราะหลายคนบอกว่ามันจะลง
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลอย่างเดียว เพราะเป็นคนก็ต้องมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ผมก็ยังเป็น แต่ถ้าเราจะเป็น vi ที่ประสบความสำเร็จ เราต้องพิจาณาด้วยเหตุผลธุรกิจเป็นหลักครับ
ส่วนเรื่องการ ซื้อเพิ่ม, cut loss ผมไม่กล้าแนะนำ แต่ผมจำที่ใครคนหนึ่งเคยพูดทำนองว่า ลืมต้นทุนที่ซื้อมา คิดเสียว่าพอร์ตตอนนี้เป็นเท่าไหร่ หุ้นในตลาดตัวไหนน่าซื้อที่สุด ขายไปซื้อตัวนั้น ถ้าเป็นตัวเดิมก็ไม่ต้องทำอะไร
ผมเชื่อว่า มี 2 แรงที่ผลักดันราคาหุ้น
1. กำไร >> เราเรียกรวมว่า พื้นฐาน
2. ปัจจัยด้านจิตวิทยา – อารมณ์ของตลาด
ประเด็นแรก เป็นสิ่งที่นักลงทุนแนว vi ต้องวิเคราะห์อยู่แล้ว แต่ถ้าเข้าใจประเด็นที่สองด้วย ก็จะเพิ่มผลตอบแทนได้อีกครับ ผมตอบไม่ได้ชัดเจนว่า เราจะดูอารมณ์จิตวิทยาของตลาดได้อย่างไร(ยังไม่รู้จริง) แต่ประมาณว่า ถ้าเราเข้าใจอารมณ์ตลาด เรามักจะได้ซื้อหุ้นที่ดี ที่ราคาไม่แพง
เหมือนที่ Graham เปรียบเปรยเป็นนิทาน Mr. Market ครับ นอกจากนั้น เราอาจพิจารณาจิตวิทยาของนักลงทุนในตลาดว่า เค้านิยมหุ้นพิมพ์แบบไหน ในอุตสาหกรรมใดที่กำลังจะฮอต หุ้นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ราคาต่ำหรือราคาสูง เหล่านี้เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้ครับ เราลงทุนแนว vi แต่พิจารณาไว้บ้างก็ไม่เสียอะไร

ผมปรับพอร์ตบ่อยๆครับ เหตุผลมักเป็นอย่างนี้

1. เจอหุ้นตัวที่ดีกว่า แต่ไม่มีเงินก็ต้องขายตัวที่ด้อยที่สุดไป
2. ตัวที่ถือพื้นฐานเปลี่ยน อันนี้แน่นอนก็ต้องขายออก
3. หุ้นขึ้นจนราคาสมเหตุสมผล ผมก็อาจจะขายไปเพิ่มตัวที่ยังต่ำกว่ามูลค่า
4. หุ้นลงผมก็ปรับพอร์ต ขายตัวที่ลงน้อยไปซื้อตัวที่มีอัพไซด์มาก
ผมก็ปรับไปเรื่อยครับ ตามข้อมูลที่ได้รับมา ไม่มีเกณฑ์ตายตัวว่าบ่อยแค่ไหน หรือกี่เปอร์เซนต์ของพอร์ต ตั้งแต่ซื้อหุ้นมายังถือไม่เกิน 3 ปีเลยครับ เฉลี่ยเกือบๆปีประมาณนั้น แต่เห็นด้วยครับว่า ตลาดผันผวน เราสามารถใช้การปรับพอร์ตหาประโยชน์จากความผันผวนนั้นได้
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เราลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ และหุ้น ถ้าตลาดซบเซาหนักๆเราก็ควรย้ายเงินจากกองทุนมาลงหุ้นให้มากขึ้น หรือเปลี่ยนไปถือหุ้นตัวทีมีอัพไซด์สูงกว่า หากตลาดเป็นขาขึ้น หาหุ้นลงทุนได้ยาก อาจจะต้องเปลี่ยนไปถือตัวที่ defensive มีปันผลเยอะหน่อยๆ ประมาณนี้ครับ
ระยะเวลาที่ถือหุ้น สั้นที่สุดนี่จำได้ว่าประมาณ 1 อาทิตย์ครับ ซื้อแล้วขึ้นไปประมาณ 30% ผมก็ขายซิครับ เพราะผมหวังผลตอบแทนแค่นั้น ส่วนยาวนี่ไม่แน่ใจครับ ประมาณ 2 ปี ที่จริง ประเด็นเรื่องเวลาการถือครองหุ้นไม่น่าจะเป็นประเด็นสำคัญ คำถามที่สำคัญกว่าคือ ราคาเหมาะสมกับพื้นฐานหรือยัง และการถือหุ้นนานๆก็มีผลเสียนะครับ เช่น เราจะเฉื่อยชา ผูกผัน เกิดความลำเอียง รักหุ้นตัวเอง
และถ้ามองในแง่ผลตอบแทน ดูตัวเลขนี้ครับ
*หุ้นตัวแรก เราซื้อผ่านไป 1 ปี ขายที่ราคาเป้าหมายได้กำไร 60% ทั้งปีได้กำไร 60%
*หุ้นตัวที่ 2 เราซื้อผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมาย ขายออกไปซื้อหุ้นตัวที่ 3 ผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมายอีก รวมทั้งปีได้ผลตอบแทน 96%
หุ้นตัวแรกให้ผลตอบแทนมากที่สุด แต่ถ้าให้เลือกผมขอซื้อหุ้นตัวที่ 2-3 ดีกว่า นี่คงคล้ายกับ turnover rate ในงบดุลครับ ยิ่งหมุนมากกำไรก็ยิ่งมาก(เรายังไม่พูดถึงความเสี่ยงนะ)
ผมติดตามพื้นฐานของหุ้นที่อยู่ใน watch list เสมอๆ
ผมมีหุ้นที่ติดตามผลกำไรทุกไตรมาส ประมาณ 80 ตัว และหุ้นที่ติดตามแบบห่างๆอีกประมาณ 120 ตัว รวมๆก็ครึ่งนึงของตลาดพอดี
ผมเชื่อว่า ยิ่งติดตามมาก เราก็ยิ่งรู้พื้นฐานมากขึ้น ขอบข่ายความรู้มากขึ้น ยิ่งติดตามมาก โอกาสที่จะเจอช้างเผือกก็สูง เวลามีข่าวสารเข้ามาเราก็รู้ทันทีว่า เป็นข่าวดีหรือไม่ดี ซื้อหรือไม่ซื้อ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาข้อมูลอีก
ผมอ่านหนังสือพิมพ์หุ้นเกือบทุกฉบับ ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ อ่านงานวิจัยของโบรคเกอร์ อีไฟแนนซ์ ข่าวตลาด และ tvi ประมาณนี้ครับ อ่านแบบสแกน ถ้าเจอหุ้นที่น่าสนใจจะอ่านแบบละเอียด ไม่อย่างนั้นต้องใช้เวลาเยอะ
คือถ้าเราติดตามข่าวสารบ่อยๆเราจะรู้ว่าแหล่งข่าวไหนที่เราควรจะอ่านครับ
ที่จริงใช้เวลาวันละ 2 ชม. ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการลงทุนแบบมุ่งเน้น(ผลตอบแทน) หรือวันละ 1 ชม. สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนหุ้นแบบการออม
ผมเคยทำงานประจำมาก่อน ยอมรับว่ามีข้อจำกัดเยอะกว่าคนที่ลงทุนเต็มเวลา และไม่สนับสนุนให้ทุกคนลาออกเพียงเพื่อจะได้มีเวลาหาข้อมูล แต่เราก็ควรให้เวลากับการลงทุนตามสมควร
เพราะการใช้เวลาวันละเล็กละน้อยหลังเลิกงาน หาข้อมูล อาจจะเปลี่ยนสถานะภาพทางด้านการเงิน เปลี่ยนชีวิตคนๆนึงได้เลย ในขณะที่ถ้าทำงานประจำอย่างเดียวมีโอกาสน้อยกว่ามาก
ผมยังจำได้ดร.นิเวศน์เคยเขียนบทความทำนองว่า เราใช้เวลาส่วนใหญ่วันๆไปกับเรื่องที่ไม่สำคัญ และให้เวลาน้อยเกินไปกับเรื่องทีสำคัญที่สุด



ปล. อ่านมาหลายครั้ง ชอบครับใช้ได้จริงด้วย มีข้อแม้ว่า วิธีการลอกได้ แต่ห้ามลอกหุ้นกันเด็ดขาดครับเพราะ ทุกคนลงทุนก็หวังกำไรครับ เงินในกระเป๋าของคุณ คือสิ่งที่อีกคนต้องการ เพราะตลาดทุนไม่ใช่เครื่องผลิดเงินอย่างเดียว แต่อีกด้านก็เป็นเครื่องดูดเงินด้วยนะครับ