วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

The Anatomy of Elliott Wave Trading

The Anatomy of Elliott Wave Trading

บทความนี้แปลจากหนังสือ Visual Guide to Elliott Wave Trading บทที่หนึ่ง ชื่อเดียวกัน

หลักการเทรดโดยใช้ Elliott Wave Pattern นั้น ผู้เขียนแนะนำว่า-เมื่อเปิดกราฟขึ้นมาแล้วให้พยายามมองหารูปแบบราคาทาง Elliott Wave ที่เรารู้จักก่อน เช่น มีประเภท impulse wave, ending diagonal, zigzag, flat หรือ triangle บ้างไหม?
เนื่องจากแพทเทิร์นพวกนี้จะเป็นรากฐานของ trade setup ของเราเอง เพราะถ้าหามันเจอได้อย่างรวดเร็วก็จะเกิดความมั่นใจในการวางแผน
และก็อย่าลืมคำถามง่ายๆที่ว่า "ตอนนี้มันเป็น Motive wave หรือ Corrective wave กันแน่นะ?”
เพราะ Motive wave นั้นเป็นตัวกำหนดทิศทางของเทรนด์(แนวโน้มหลัก) โดยมี 2 แบบคือ impulse waves และ  ending diagonals
ส่วน Corrective wave จะวิ่งสวนกับทิศทางหลัก มี 3 แบบคือ zigzags, flats และ triangles
ถ้าคุณแยกแยะว่ามันเป็น motive หรือ corrective ได้ชัดแล้ว ก็จะเอาไปกำหนด trade setup ที่เป็นประโยชน์ได้เช่นกัน

ในบทแรกนี้เราจะมาเจาะลึกวิธีการใช้ส่วนประกอบหลักของการวิเคราะห์และการเทรดอันจะช่วยให้เรากพัฒนาตัวเองให้เป็น Elliottician ที่เก่งขึ้นและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะเจาะลึกวิธีการพัฒนาการเทรดโดยใช้กฎหลักของเวฟ(Wave Principle) ว่าเวฟไหนเหมาะกับการเทรดมากที่สุด guidelines ไหนบ้างที่ช่วยให้เราแยกแยะ Elliott wave pattern ได้ และทำไมจิตวิทยาการเทรดและการจัดการความเสี่ยง อันเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ-แต่เรามักกจะไม่ให้ความสำคัญ

How the Wave Principle Improves Trading
Wave Principle จะช่วยยกระดับการเทรดได้อย่างไร
ผู้เขียนชอบใช้ Wave Principle ในการใช้เทรดมาก ด้วยเหตุผลหลายอย่าง
แต่ก่อนจะถึงเรื่องราวของเวฟ เขราควรรู้จัก Technical Studies ก่อน เพราะจะถูกอ้างบ่อยในเนื้อหาข้างล่างในบทนี้
ตัว Technical Studies ที่ว่านี้ เราก็รู้จักกันดีอยู่แล้วล่ะ มี 3 แบบคือ
1) Trend-following indicators คือ moving averages, MACD, ADX
2) Oscillators ที่ใช้กันเยอะก็มี stochastics, rate-of-change และ CCI
3) Sentiment indicators คือ  put-call ratios และ Commitment of Traders report data

Technical Studies พวกนี้เป็นตัวช่วยให้เทรดเดอร์ทำงานใด้ดีขึ้นมาก แต่ส่วนใหญ่ก็มองไม่เห็นความสำคัญด้วยเหตุผลหลักๆคือ: เขามักจะโฟกัสไปที่ price action ที่เกิดล่าสุดและจับไปตีความเกี่ยวโยงกับภาพรวมของตลาดซะมากกว่า
ตัวอย่างเช่น, สัญญาณ MACD ของหุ้น  XYZ เป็นบวก ตีความได้ว่าเป็นแนวโน้มเป็นขาขึ้น ซึ่งให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์
แต่มันจะไม่มีประโยชน์มากขึ้นเลย ถ้ามันไม่สามารถตอบคำถามว่า :
- นี่คือแนวโน้มใหม่หรือแนวโน้มเก่า?
- หากเป็นแนวโน้มขาขึ้น มันจะไปไกลได้แค่ไหน?
Technical Studies ส่วนใหญ่ก็จะไม่ให้คำตอบพวกนี้ชัดเจนนัก เช่น ความอิ่มตัวของแนวโน้ม และ ราคาเป้าหมาย - ทว่า Wave Principle บอกได้หมด


Five Ways the Wave Principle Improves Trading
นี่คือข้อดีงาม 5 ข้อ ของ Wave Principle  ช่วยยกระดับการเทรดของเราได้
1. มันช่วยระบุแนวโน้ม
2. มันช่วยระบุ Counter trend (การสวนแนวโน้ม-ย่อ)
3. มันกำหนดระยะเวลาครบกำหนดของแนวโน้ม
4. มันช่วยบอกราคาเป้าหมายที่แม่นยำสูง
5. มันบอกจุดสิ้นสุดของเทรนด์ได้


1. การระบุแนวโน้ม
Wave Principle ช่วยระบุทิศทางของแนวโน้มที่โดดเด่น ห้าคลื่นที่วิ่งขึ้นบ่งบอกว่าแนวโน้มโดยรวมเป็นขาขึ้น ตรงกันข้ามการวิ่งลงไปห้าคลื่นกำหนดว่าแนวโน้มที่มีขนาดใหญ่จะวิ่งลง
ทำไมข้อมูลเหล่านี้จึงสำคัญล่ะ?
เพราะมันเป็นเรื่องง่ายที่จะซื้อขายตามทิศทางของเทรนด์ที่โดดเด่นเนื่องจากมันเป็นเส้นทางที่มีความต้านทานน้อย อย่างที่เขาบอกว่า "แนวโน้มเป็นเพื่อนของคุณ" ผู้เขียนพบว่าการซื้อขายตามแนวโน้มง่ายกว่าการพยายามไปขายที่จุดสูงสุด หรือ ซื้อที่จุดต่ำสุดของแนวโน้ม ซึ่งเป็นความพยายามที่ยากเย็นและเป็นไปไม่ได้ที่จะแม่นยำอย่างต่อเนื่อง


2. การระบุ CounterTrend
Wave Principle ยังช่วยระบุ CounterTrend ได้
CounterTrend มีสามคลื่น-มันเป็นการปฏิกริยาตอบสนองต่อการเกิด impulse wave ที่เพิ่งวิ่งก่อนหน้านี้ หากรู้ว่าการเคลื่อนที่ในปัจจุบันนั้นเป็นเพียงการย่อตัวลงภายใต้แนวโน้มขนาดใหญ่เป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นโอกาสดีในการเพิ่ม position สำหรับเทรดเดอร์ เพราะแนวโน้มใหญ่ยังคงดำเนินไปในทางเดิม(เพียงแต่ว่าตอนนี้มันพักตัวเพื่อลดความร้อนแรง)
การที่เรารู้ว่า Elliott wave corrective patterns นั้นได้แก่ zigzags, flats และ triangles
มันช่วยให้คุณซื้อตรงจุดที่มัน pullbacks ลงมาในภาวะขาขึ้น และยังช่วยให้หาจุดขายออกตอนที่มันเด้งในช่วงขาลง ซึ่งมันได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่ประสบความสำเร็จอย่างสม่ำเสมอ การรู้ว่าการเคลื่อนไหวของราคาใน CounterTrend มีลักษณะแบบไหน ทำให้คุณมีโอกาสเข้าไปทำเงินกับแนวโน้มนั้นได้


3. การระบุจุดอิ่มตัวของเทรนด์
จากการสังเกตของ R. N. Elliott พบว่ารูปแบบคลื่นที่มีขนาดใหญ่นั้น จะมีคลื่นขนาดเล็กอยู่ในตัวมันเอง การก่อตัวซ้ำๆของคลื่นขนาดเล็กนี้ เรียกว่า fractal ดังแสดงในรูปที่ 1.1
คลื่น (1) แบ่งออกเป็นห้าคลื่นขนาดเล็กอยู่ภายใน และมันยังเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบคลื่นใหญ่ที่มีห้าคลื่นอีกต่อ
ข้อมูลนี้มีประโยชน์อย่างไร?
มันจะช่วยให้เทรดเดอร์รู้ว่ามันได้ครบกําหนดของแนวโน้มแล้วยังไงล่ะ ตัวอย่างเช่น หากราคามันเคลื่อนที่ในเวฟ 5 ของห้าคลื่นที่ขึ้นมาแล้ว และเวฟ 5 ที่กำลังวิ่งอยู่นี้มีเวฟย่อยวิ่งจบไปแล้วสามหรือสี่คลื่น เทรดเดอร์ก็จะรู้ว่าตอนนี้ไม่อาจจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเพิ่ม position แต่มันอาจจะเป็นเวลาที่จะ take profit หรืออย่างน้อยที่จะยกระดับ stop loss

ทั้งนี้, เนื่องจาก Wave Principle ช่วยระบุการ CounterTrend, และการอิ่มตัวของแนวโน้ม ก็ไม่ต้องแปลกใจว่า Wave Principle นั้นยังบอกสัญญาณการกลับมาดำรงสถานะของแนวโน้มหลัก
เมื่อราคามันสวนเทรนด์ไปทำสามขา (A-B-C) จบ ก็จะเป็นสัญญาณบอกว่าเป็นจุดที่แนวโน้มหลักกำลังจะกลับมาวิ่งไปต่ออีกครั้ง
เรียกได้ว่า, เมื่อราคาวิ่งขึ้นไปได้สูงกว่ายอดสูงสุดของขา B ได้แล้ว เราก็จะรู้ทันทีว่าแนวโน้มใหญ่ได้กลับมาวิ่งไปต่ออีก อันจะทำให้เราได้กำไรเพิ่มมากขึ้นไปอีก(ถ้าเรายังถือ position ตามแนวโน้มหลักอยู่): และโอกาสในการประสบความสำเร็จก็จะสูงขึ้นหากมีการใช้ Technical Studies ประกอบด้วย


4. ให้ราคาเป้าหมาย
สิ่งนี่แหละที่ Technical Studies ไม่สามารถบอกได้ - มันคือ "ราคาเป้าหมายที่มีความแม่นยำสูง(high-confidence price targets)" - อันเป็นสิ่งที่ Wave Principle บอกเราได้
เมื่อ R. N. Elliott เขียนเกี่ยวกับ Wave Principle in Nature’s Law ระบุว่า
ลำดับ Fibonacci เป็นคณิตศาสตร์อันเป็นพื้นฐานของ Wave Principle ที่แยกกันไม่ออกต้องใช่ร่วมกัน
ทั้ง impulsive และ corrective เป็นไปตามสัดส่วนของ Fibonacci ที่เฉพาะเจาะจง
ยกตัวอย่างเช่น motive wave ทั้งสาม ที่มีแนวโน้มการวิ่งเกี่ยวข้องกับ Fibonacci โดยมันจะวิ่งไปได้ถึงระดับ 1.618 หรือ 2.618 (ซึ่งแปรผกผันกันเป็น 0.618 และ 0.382) ดูรูป 1.2, 1.3 และ 1.4

นอกจากนี้ correction มักจะย่อลงไปเป็นร้อยละฟีโบนักชีของคลื่นลูกก่อน ระดับ Fibonacci ในส่วนย่อยนี้จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถกำหนดจุดเป้าหมายทำกำไรและระบุพื้นที่เข้าซื้อเมื่อราคาย่อลงไปถึงช่วงนั้น (ดูรูปที่ 1.5 และ 1.6 ประกอบเรื่องรายละเอียดของระดับฟีโบ)



5. ยืนยันการนับคลื่นผิด
การวิเคราะห์คลื่นช่วยให้เรารู้ตัวว่าสิ่งที่เรามองเอาไว้ผิดหรือถูกต้อง, ถ้าตีความผิดก็ต้องเริ่มนับใหม่ ไม่ควรดันทุรัง เพราะถ้าเรายังดื้อดึงเถียงกฎก็อาจจะทำให้เราล้มเหลวได้
ก็เป็นที่รู้กันแน่นอนว่า, ไม่มีใครคิดถูกทุกครั้งที่เข้าเทรด นักเก็งกำไรหลายคนก็เลยใช้ money management มาช่วยอุดช่องโหว่นี้
อย่างที่บอก Technical Studies ก็ไม่ได้ให้เบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ Wave Principle ทำได้! -- โดยแอบเตือนเราในรูปแบบของกฎคลื่น 3 ข้อ สำหรับ impulse waves คือ:
กฎข้อที่ 1: คลื่นลูกที่ 2 ไม่สามารถลงไปลึกเกินกว่า100% ของคลื่น 1
กฎข้อที่ 2: คลื่นลูกที่ 4 ไม่ควรลงไปกินบริเวณราคาของคลื่น 1
กฎข้อที่ 3: คลื่น 3 ไม่ควรสั้นที่สุด
หากนับแล้วพบว่ามีการละเมิดส่วนใดๆ ของกฎเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการนับคลื่นไม่ถูกต้อง


The Four Best Waves to Trade
เวฟ 3, 5, A, และ C เป็นประโยชน์มากที่สุดสำหรับเทรด เพราะมันมุ่งเน้นไปในทิศทางของแนวโน้มใหญ่
เทรดเดอร์ที่ชอบเล่นยาวจะ long ในตลาดขาขึ้น (และ short ในตลาดขาลง) เมื่อเทียบกับคนเล่นสั้นจะขายในตลาดขาขึ้น(และซื้อในตลาดขาลง)
แต่โดยรวมแล้ว,การซื้อขายตามทิศทางของแนวโน้มเป็นเส้นทางที่มีความต้านทานน้อย
โปรดจำไว้ว่า ห้าคลื่นเป็นตัวกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของแนวโน้มขนาดใหญ่ ในขณะที่การเคลื่อนไหวสามคลื่นจะให้โอกาสเทรดเดอร์เข้ามาร่วมซื้อขาย
ดังนั้นในรูปที่ 1.7 คลื่น (2), (4,) (5) และ (B) เป็น setup สำหรับการเทรดที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อจะเอาประโยชน์จากการวิ่งของคลื่น (3), (5), (A) และ (C)

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคลื่น (2) ได้ย่อตัวลง เป็นช่วงที่เทรดเดอร์มีโอกาสที่จะเพิ่ม position เพื่อทำเงินเมื่อมันกลับไปวิ่งในทิศทางของคลื่น (3)
เช่นเดียวกับคลื่น (5) การวิ่งขึ้นของราคาทำให้พวกเขามีโอกาส short ที่ยอดนี้โดยมีเป้าหมายที่ปลายคลื่น (A)
โดยใช้ Wave Principle ผสมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบดั้งเดิม, เทรดเดอร์สามารถปรับปรุงการเทรดของพวกเขาโดยการเพิ่มความเป็นไปได้ในการเทรดที่ประสบความสำเร็จ
Technical studies สามารถเสนอโอกาสในการซื้อขายจำนวนมาก แต่ Wave Principle จะช่วยเสริมให้เทรดเดอร์มองเห็นโอกาสไหนที่จะมีโอกาสประสบความสำเร็จจากการเทรดมากขึ้น
นี้เป็นสาเหตุที่ Wave Principle เป็นกรอบที่ให้ประวัติศาสตร์และบริบท, ข้อมูลปัจจุบันและมองไปยังอนาคตได้ด้วย


Elliott Wave Trade Setups
แผนภูมิต่อไปนี้ (ดูรูปที่ 1.7) แสดงให้เห็นรูบแบบ bullish และ  bearish ของ trade setup

ในแต่ละคลื่น (2), (4), (5) และ (B) เป็น trade setup ที่แสดงให้เห็นโอกาสเข้าเทรดถึงสี่ครั้งโดย ใช้ corrective waves เหล่านี้ มันยื่นโอกาสให้เทรดเดอร์กลับเข้าไปร่วมกับแนวโน้มใหญ่
ในการซื้อขายตามแนวโน้มดังกล่าว, เทรดเดอร์ที่เข้าใจเกมส์จะซื้อตอน pullbacks ใน uptrends
ในทางกลับกันพวกเขาก็จะขายชอร์ตตอนที่ราคาเด้งใน downtrends

When to Trade Corrections
Corrective waves นำเสนอโอกาสในการซื้อขายที่ให้ให้ความพอใจน้อย เนื่องจากมีศักยภาพที่ซับซ้อน
Impulse waves เป็นช่วงที่ราคาวิ่งไปตามแนวโน้มซึ่งมันจะวิ่งไปได้ไกล
ตรงกันข้าม, corrective wave patterns มีการแกว่งมาก โดยวิ่งทำรูปทรงหลายแบบเช่น zigzag, flat, expanded flat, triangle, double zigzag, หรือ combination
โดยทั่วไป Corrections มักจะเคลื่อนตัว sideway และมักจะไร้รูปแบบ แถมใช้เวลานานและหลอกลวง ดังนั้นการเทรด ในช่วง correction จึงเสียเวลาและน่าหงุดหงิด เปอร์เซ็นต์ชนะมีน้อยเหลือเกิน
ผู้เขียนมองว่าการเทรดในช่วง correction ที่ให้ low-confidence trade setups มันมีบางเวลาเขาก็เคยพยายามที่จะเทรดมัน แต่ก็ต้องดูศักยภาพในช่วง correction ด้วย
ตัวอย่างเช่น ในกราฟ 15 นาทีของ Crude Oil ถ้าเขานับได้ว่ากำลังขึ้นเวฟห้า เขาจะไม่พิจารณาเวฟ 2 หรือ 4 ว่าเป็นโอกาสที่ใช้ได้ แต่เขาจะรอให้มันจบเวฟเสียก่อนที่จะเข้าเทรด เพราะเมื่อตลาดมันเป็น impulse wave อาจจะใช้เวลาหลายอาทิตย์กระทั่งหลายเดือน ในกรณีนี้เวฟ 2 หรือ 4 ก็จะใช้เวลาหลายอาทิตย์เพื่อเปิดโอกาสให้คนเล่นสั้นเข้ามาทำเงิน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Guidelines for Trading Specific Elliott Wave Patterns
ก่อนที่เราจะ review guidelines เพื่อที่จะ trading specific Elliott wave patterns นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการวิเคราะห์และกฎการเทรด: ปล่อยให้ตลาดเฉลยก่อนที่จะตัดสินใจเทรด (Let the market commit to you before you commit to the market) พูดอีกแบบได้ว่า, ให้รอดูการยืนยันของ price action เสียก่อนที่จะเข้าเทรด
Guideline ต่อไปนี้ ได้รวมไอเดียและเป็นประโยชน์ต่อเทรดเดอร์ใน 2 แนวทาง
หนึ่ง, การรอ confirming price action มีแนวโน้มที่จะช่วยลดจำนวนของการซื้อขายที่ผิดพลาด เนื่องเพราะเทรดเดอร์ที่ล้มเหลวมักจะ overtrade ยิ่งเทรดบ่อยยิ่งพลาดเยอะ
สอง, มุ่งเน้นความสนใจไปที่ higher-confidence trade setups เท่านั้น

Impulse Wave (ดูรูป 1.8)
สำหรับ Bull Market รอให้ราคาลงไปต่ำกว่าโลว์ของเวฟ iv ของคลื่น 5 เสียก่อน จึงค่อยเทรด
ส่วน Bear Market ก็รอให้ราคา breakout ไฮของเวฟ iv ของคลื่น 5 เสียก่อน จึงค่อยเทรด

Ending Diagonal (ดูรูป 1.9)
มีสองแนวทาง
แนวที่หนึ่ง
สำหรับ Bull Market รอให้ราคาหลุดทะลุยอดของเวฟ 4 ลงไปก่อน จึงเข้าเทรด
ส่วน Bear Market รอให้ราคา breakout ทะลุยอดของเวฟ 4 ขึ้นไปก่อน จึงเข้าเทรด
แนวทางที่สอง
ถ้าคุณเป็นคนใจร้อน(Aggressive) ก็สามารถเข้าเทรดตั้งแต่มันหลุดเทรนด์ไลน์ได้-สำหรับ Bull Market
กลับกันใน Bear Market ก็ให้ซื้อตอนที่มัน breakout trendline ได้เช่นกัน (ดูรูป 1.10) แต่ก็ต้องดูให้ดีด้วยเพราะตามกฎของ Ending Diagonal แล้ว เวฟหนึ่งยาวสุด-สามสั้นกว่า-ห้าสั้นสุด แต่ถ้าเวฟห้าเกิดยาวกว่าเวฟสามล่ะก็-คุณต้องรู้สึกตัวแล้วล่ะว่านับผิด

Zigzag (ดูรูป 1.11)
มีแนวทางสำหรับการเทรดอยู่ 2 แบบ
แบบแรก สำหรับคนใจร้อน
สำหรับ Bull Market รอให้ราคา breakout ไฮของเวฟ iv ของคลื่น C เสียก่อน จึงค่อยเทรด
ส่วน Bear Market ก็รอให้ราคาลงไปต่ำกว่าโลว์ของเวฟ iv ของคลื่น C เสียก่อน จึงค่อยเทรด
แบบที่สอง สำหรับคนที่อยากให้ชัวร์จริงๆ
คือรอให้ราคา breakout ไฮของเวฟ B ไปได้ก่อน จึงเข้าซื้อ สำหรับ Bull Market
ส่วน Bear Market นั้น เข้าเทรดเมื่อราคาหลุดทะลุโลว์ของเวฟ B ลงไปได้แล้ว

Flat (ดูรูป 1.13)
สำหรับ Bull Market ก็รอให้ราคา breakout ไฮของเวฟ iv ของคลื่น C เสียก่อน จึงค่อยเทรด
ส่วน Bear Market รอให้ราคาลงไปต่ำกว่าโลว์ของเวฟ iv ของคลื่น C เสียก่อน จึงค่อยเทรด

Triangle (ดูรูป 1.14)
สำหรับ Bull Market ก็รอให้ราคา breakout ไฮของเวฟ C เสียก่อน จึงค่อยเทรด
ส่วน Bear Market รอให้ราคาลงไปต่ำกว่าโลว์ของเวฟ C เสียก่อน จึงค่อยเทรด
ผู้เขียนไม่แนะนำการเข้าแบบ Aggressive ที่เคยแนะไว้กับ zigzag เพราะว่ามันมักจะหลอกลวง
เนื่องจากมันสามารถอยู่ในรูปแบบของคลื่น 4, B,หรือ X โดยที่มันอาจปรากฎอยู่ในรูปของ bullish
fourth-wave triangle หรือ  bearish triangle B wave ก็ได้
เทรดเดอร์ที่มี aggressive trading style ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะเข้าเทรดในตำแหน่งที่ดีก่อนที่ราคาจะลงไปถึงจุดสิ้นสุดของคลื่น D
ถ้าเช่นนั้นผู้เขียนแนะนำให้ใช้จุดปลายสุดของคลื่น A เป็น initial protective stop แทนที่จะเป็น จุดสิ้นสุดของคลื่น C มันไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติใน equities หรือ thinly traded markets สำหรับ intraday price action

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

การละเลยในการบริหารความเสี่ยงและจิตวิทยาการเทรด
เมื่อพูดถึงหนทางที่จะกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจากการเทรดอย่างต่อเนื่อง
มีสองวิชาคุณอาจไม่ได้ยินหรือไม่ใส่ใจมากพอ คือ
การบริหารความเสี่ยงและจิตวิทยาของการซื้อขาย
เพราะเรื่องของการบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนของเทรดเดอร์
จะขอสรุปสั้นๆเรื่อง risk-reward ratios และ trade size ดังนี้
Risk-Reward Ratio เป็นอัตราส่วนที่ประเมินความเสี่ยงเมื่อเทียบกับกำไรที่จะได้จากการเทรด
หากคุณซื้อหุ้น XYZ ที่ $50.00 ด้วยความคาดหวังว่ามันจะวิ่งไป $51.00
คุณคาดหวังกำไร $1.00 หากหยุดขาดทุนที่ $ 49.00 risk-reward ratio คือ 1: 1 เนื่องด้วยคุณเสี่ยง $1.00 เพื่อให้ได้ $1.00
ถ้าจุดตัดขาดทุนเป็น $49.90 แล้ว risk-reward ratio คือ 10: 1

หมายเหตุ: แม้ว่ามันจะเรียกว่าอัตราส่วนความเสี่ยงต่อกำไร
อัตราส่วนนี้จะถูกกำหนดไว้ตามกำไรที่คาดหวังเป็นสิ่งแรก
ดังนั้น,ตามตัวอย่างนี้แม้ว่าจะมีความเสี่ยง ที่ 1 และกำไรที่ 10 อัตราส่วนก็จะเป็น 10: 1 แทน
ที่จะเป็น 1:10 นี่คือการอธิบายว่าทำไม risk-reward ratio 3: 1 เป็นสิ่งที่น่าพอใจแล้ว
risk-reward ratio สูงๆ เป็นที่ต้องการมากซึ่งมันก็คือความน่าจะเป็น
สมมติว่าคุณเทรดถูกทางร้อยละ 70 ของการเทรดทั้งหมด และ risk-reward ratio ในแต่ละการเทรดของคุณคือ 1: 1 ดังนั้นจากการเทรด 10 ครั้ง มีเจ็ดครั้งที่คุณมีกำไร $1.00 แต่อีกสามครั้งคุณขาดทุน $1.00
สรุปคือคุณกำไรสุทธิ $4.00
แต่อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเราเพิ่ม risk-reward ratio จาก 1: 1 ไปเป็น 3: 1 และลดความน่าจะเป็นของการชนะ
จากร้อยละ 70 เป็นร้อยละ 40 ล่ะ?
ด้วยวิธีนี้ risk-reward ratio 3: 1 เพื่อกำไร $1.00 คุณก็จะเทรดชนะ 4 ครั้งแล้วกำไรสุทธิ คือ $12.00 ถ้าลบส่วนขาดทุนไป $6.00 คราวนี้คุณจะมีกำไร $6.00
ความแตกต่างนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ risk-reward ratio โดยการลดความน่าจะเป็นในการชนะ
การซื้อขายจากร้อยละ 70 ลงจนถึงเกือบครึ่งหนึ่ง (เช่นร้อยละ 40)
ขณะที่การเพิ่ม risk-reward ratio ขึ้น, คุณเพิ่มโอกาสทำกำไรเป็นร้อยละ 50
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเทรดก็คือนักลงทุนส่วนใหญ่มองที่การทำกำไรเป็นหลัก ซึ่งมันไม่ถูกทั้งหมด
ในขณะที่คุณเห็นเทรดเดอร์บางคนชนะเพียงร้อยละ 40 ของจำนวนการเทรดทั้งหมดแต่ก็ยังคงสร้างความสำเร็จให้เขาหรือเธอ เมื่อใให้ความสำคัญกับ risk-reward ratio

Trade Size
Position ขนาดใหญ่แค่ไหนที่ผู้ประกอบการควรใช้?
ความเสี่ยงจากการเข้าเทรดแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 1-3 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตทั้งหมด
เทรดเดอร์รายย่อยมือใหม่มีแนวโน้มที่จะไม่เห็นด้วยกับสัดส่วนขนาดเล็กแค่นี้(พวกเขาต้อง all in เท่านั้น-เดี๋ยวรวยช้า)
แต่เทรดเดอร์มืออาชีพชอบมากกับอัตราส่วนนี้ ดังนั้นที่ร้อยละ 1 ของทุก $ 5,000 ที่เทรดเดอร์มีอยู่ในบัญชีซื้อขาย, เขาหรือเธอควรจะจำกัดความเสี่ยงเพียง $50 แต่ละ position เท่านั้น
ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์ที่มี $10,000 ในบัญชีของเขาสามารถเทรดสองครั้ง เพื่อการซื้อขายที่มีความเสี่ยงครั้งละ $50 หรือเทรดครั้งเดียวที่ความเสี่ยง $100
เทรดเดอร์หลายคนล้มเหลวในการเทรดเ พราะพวกเขาก็ไม่มีเงินทุนเพียงพอในบัญชีซื้อขายที่จะเข้าเทรดตามวงเงินที่พวกเขาต้องการที่จะใช้(เพราะขาดทุนจนเหลือเงินต้นน้อยมาก)
หากคุณมีเงินทุนน้อย คุณก็สามารถเอาชนะความท้าทายโดยการเทรดด้วยวงเงินน้อยๆได้
คุณสามารถเทรดโดยใช้สัญญาน้อยๆ, trade e-mini contracts หรือแม้กระทั่งเล่นหุ้นเศษสตางค์
โดยสรุปแล้ว ในเส้นทางของการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จโดยยั่งยืนของคุณ-ต้องตระหนักว่าการอยู่ในตลาดได้ยั่งยืนยาวนานเป็นกุญแจสำคัญ
ถ้าคุณเสี่ยงทุกๆการเทรดด้วยเงินจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับเงินในพอร์ต คุณก็สามารถฝ่าฟันกระแสของความสูญเสียได้
ตรงกันข้ามถ้าคุณเสี่ยงร้อยละ 25 ของพอร์ตในแต่ละครั้งของการเทรด หากคุณขาดทุนต่อเนื่องแค่สี่ครั้งหลังจากนั้น คุณก็มีโอกาสหมดตัว
.
.
The Psychology of Trading
ในขณะที่เราคิดว่าการบริหารความเสี่ยงเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเทรดที่ประสบความสำเร็จ, สิ่งสำคัญที่แท้จริงคือ จิตวิทยา -นั่นคือจิตวิทยาส่วนบุคคลของคุณ
ลองทบทวนจำนวนของปัจจัยทางจิตวิทยาที่ป้องกันไม่ให้เทรดเดอร์ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องดูสิ: มันคืออะไรบ้าง
- ขาดระเบียบ
- ขาดวินัย
- ความคาดหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
- และขาดความอดทน
ไม่ว่าคุณจะเป็นมืออาชีพหรือเพียงแค่อยากเปิดบัญชีการซื้อขายครั้งแรก มันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของคุณ ควรทำความเข้าใจว่าจิตวิทยาส่วนบุคคลของคุณมีผลกระทบต่อผลการเทรดของท่านอย่างมาก
.
ขาดยุทธวิธี
ถ้าคุณมุ่งมั่นที่จะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องแล้ว, คุณต้องมีแผนการซื้อขายที่กำหนดไว้แล้ว - ง่าย, ชัดเจน และมีแนวทางที่รัดกุมในการมองตลาด
ในความเป็นจริงแล้ว, การมีกระบวนการที่เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ก่อตั้ง EWI (Robert Prechter) เขียนไว้ที่ด้านบนของบทความของเขาที่ชื่อว่า "สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องการจริงๆถ้าอยากประสบความสำเร็จ"
การคาดเดาหรือทำไปโดยสัญชาตญาณจะไม่ได้ผลดีในระยะยาว หากคุณไม่ได้มีแผนการซื้อขายที่กำหนดไว้แล้ว, คุณจะไม่มีทางรู้ว่าอะไรคือสัญญาณซื้อหรือสัญญาณขาย
คุณจะทำอย่างไรเพื่อจะเอาชนะปัญหานี้?
คำตอบคือเขียนวิธีการของคุณให้เป็นลายลักษณ์อักษร
เขียนกําหนดว่าเครื่องมือในการวิเคราะห์ของคุณคืออะไรและที่สำคัญคือวิธีการที่คุณใช้มัน
ไม่สำคัญว่า คุณจะใช้ Wave Principle,  point and figure charts, stochastics, RSI, หรือใช้รวมกันทั้งหมด
สิ่งที่สำคัญคือคุณมีความตั้งใจจริงในการกำหนดจุดซื้อ-จุดขาย-trailing stop และการ exiting a position
เบาะแสที่ดีที่สุดที่สามารถให้คุณเกี่ยวกับการกำหนดวิธีการกำหนดวิธีการซื้อขายของคุณคือ:
ถ้าคุณไม่สามารถเขียนมันไว้ในกระดาษขนาด 3 "× 5" นั่นก็หมายความว่ามันซับซ้อนเกินไปแล้วล่ะ
.
.
ขาดวินัย
เมื่อคุณมีเค้าโครงและกำหนดแนวทางการเทรดที่ชัดเจนได้แล้ว คุณต้องมีวินัยที่จะทำตามระบบนั้น
การขาดวินัยขณะเทรดนั้นมันเป็นหายนะที่เกิดกับเทรดเดอร์ที่มักมากส่วนใหญ่
ถ้าวิธีการดูกราฟหรือประเมิน trade setup ที่มีศักยภาพ-แตกต่างจากสิ่งที่คุณทำในเดือนที่แล้ว, ซ้ำร้ายคุณยังไม่มีแผนการเทรด, ขาดวินัยไม่ทำตามแผนที่ระบุไว้ คุณต้องเสียเวลาไปอีกนานกว่าจะพิสูจน์ว่าจะประสบความสำเร็จจริงๆ
.
.
ความคาดหวังที่เกินจริง
ไม่มีอะไรที่ทำให้ผู้เขียนหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อเห็นโฆษณาที่บอกว่า  "มี $5,000 position ที่ถูกต้องในก๊าซธรรมชาติสามารถให้ผลตอบแทนกว่า $40,000"
การโฆษณาเช่นนี้ก่อความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมการเงินโดยรวมแลถึงนักลงทุนที่ไร้การศึกษามากกว่า $ 5,000
นอกจากนี้ยังช่วยสร้าง mindset ของการมีความคาดหวังที่ไม่สมจริง
ใช่, มันเป็นไปได้ที่จะมีผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ก็ต้องรับความเสี่ยงที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเช่นกัน
อยากถามว่า มือใหม่อย่างคุณต้องการผลตอบแทนจากการเทรดที่ในปีแรก สักเท่าไหร่ดี 50% ,100% หรือ 200% ใช่มั้ย?
ว้าวว...นั่นเป็นสิ่งเร้าใจและน่ามีส่วนร่วมยิ่งนัก
แต่ในความเห็นของผู้เขียน, เป้าหมายสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ทุกคนคือ-ครบปีแรกหากไม่สูญเสียเงินต้นได้ก็ถือว่าสุดยอด หรือพูดอีกอย่างคือยังเท่าทุนในปีแรกถือว่าเจ๋ง
ถ้าคุณสามารถทำได้ จากนั้นในปีที่สองก็ให้พยายามเอาชนะดัชนีให้ได้ เป้าหมายเหล่านี้อาจจะไม่เร้าใจ แต่มันก็มีความเป็นไปได้จริงมากกว่า
.
.
ขาดความอดทน
หลุมพรางทางจิตวิทยาข้อที่สี่ที่แม้แต่เทรดเดอร์ผู้มีประสบการณ์ต้องเผชิญหน้า
คือการขาดความอดทน
ตามที่ Edwards and Magee เขียนในหนังสือ Technical Analysis of Stock Trends
บอกว่าตลาดวิ่งตามแนวโน้มเพียงแค่ 30% ซึ่งหมายความว่าเวลาที่เหลือ 70% ตลาดจะวิ่งแบบไร้ทิศทาง
ด้วยเวลาที่สั้นขนาดนั้น เราจึงมีโอกาสที่ดีแค่สองหรือสามครั้งเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น, ถ้าคุณเป็นเทรดเดอร์ระยะยาวโดยทั่วไปก็จะซื้อเพียงสองหรือสามครั้งต่อปี
ในทำนองเดียวกันถ้าคุณเป็นเทรดเดอร์ระยะสั้น-ในสัปดาห์หนึ่งก็จะมีโอกาสดีๆเพียงแค่สองหรือสามครั้งเท่านั้นเอง
อย่าให้บ่อยเกินไป แม้การซื้อขายโดยเนื้อแท้เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น(และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเงินมักจะเป็นที่น่าตื่นเต้น) จึงง่ายที่จะรู้สึกว่าคุณรู้สึกโหวงเหวงถ้าคุณไม่ได้เทรด จึงเป็นผลให้คุณทำ trade setup ให้ตัวเองต้องเทรดบ่อยแบบไร้คุณภาพ ในที่สุดก็จะ overtrade จนทำให้ล้มละลาย
คุณจะทำอย่างไรจึงจะเอาชนะการขาดความอดทนนี้?
ให้เตือนตัวเองทุกสัปดาห์ว่าในเร็วๆนี้จะมี "การเทรด(ที่ยิ่งใหญ่สุด)ของปี" หรืออาจจะเป็นคำอื่นๆ ก็ได้ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการขาดหายไปของโอกาสในวันนี้เพราะมันจะมีแน่ๆในวันพรุ่งนี้, สัปดาห์ถัดไปและในเดือนถัดไป . . เชื่อผมเถอะ

คลิปสอนนับคลื่น Elliott Wave โดย คุณน้ำผึ้ง สัตตารัมย์

คลิปสอนนับคลื่น Elliott Wave โดย คุณน้ำผึ้ง สัตตารัมย์


ผมคิดว่า คุณน้ำผึ้ง สัตตารัมย์ ถือเป็นเทรดเดอร์คนแรกๆที่กล้าเปิดเผยเคล็ดลับการดู-การนับคลื่น Elliott Wave ออกสื่อฟรีๆ แถมอธิบายแบบละเอียดยิบ ซึ่งน้อยคนนักที่จะใจกว้างแบบนี้ ผมขอแสดงความคารวะและขอบคุณมาในที่นี้ด้วย ว่านายเจ๋งมาก
เพราะความที่ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับความรู้ที่เธอนำเสนอมาก จึงชอบดูและฟังซ้ำๆโดยหมายให้ทั้งหมดซึมซับเข้าสมองให้มากที่สุด
พอมีโอกาสทำบล็อกนี้ขึ้นมาจึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะรวบรวมมาไว้ในโพสต์เดียว เพื่อเป็นแหล่งอ้างอิงไว้ดูซ้ำง่ายๆ

8 4 59 Stop Loss Ceiling Trader

คลิปแรกเป็นการเปิดตัวของเธอครั้งแรก จะเป็นการเล่าประวัติ life style ของเธอ ที่ล้มลุกคลุกคลาน ขาดทุนหนัก แต่ก็ไม่ยอมแพ้ มุมานะศึกษาหุ้นอย่างบ้าระห่ำ จนกระทั่งคิด system trade ของตัวเองออกมาได้ และมีโอกาสได้ศึกษาอีเลียตเวฟ ทำให้ความรู้ทั้งหมดมันเติมเต็ม กระทั่งมองวงจรหุ้นมองรอบของหุ้นได้ พอศึกษาแล้วก็ได้คิดว่า "ถ้ามองอีเลียตเวฟเหมือนคนอื่น มันก็เป็นแค่ผู้ตาม หากคิดการใช้ประโยชน์เวฟในแบบของตัวเองได้จะทำให้เอาชนะตลาดได้
ข้อดีของอีเลียตเวฟที่เธอพบคือ ราคาหุ้นมันวิ่งเป็นรอบ เมื่อมีความรู้ก็จะสามารถคาดการณ์ได้ว่าราคาจะไปจบรอบตรงไหน หาจุดเข้าซื้อได้ และเป้าในการขายก็ใช้ฟีโบนาชี เธอชอบลงทุนในเวฟสาม โดยเริ่มเข้าไปเก็บหุ้นที่จุดสิ้นสุดของเวฟสองซึ่งเธอเรียกว่าเวฟของเจ้ามือ สังเกตง่ายๆว่า ราคาจะลงมาเรื่อยๆ พร้อมกับวอลุ่มการซื้อขายก็แห้งลงเรื่อยๆ เธอจะใช้ความรู้ทั้งอีเลียตเวฟ-วอลุ่ม และ price action มาผสมผสานกันเพื่อหาจุดสิ้นสุดของการพักตัวทำจุดจบของเวฟสอง โดยวอลุ่มจะช่วยบอกว่าไกล้จบรอบหรือยัง แล้วเข้าไปซื้อได้หรือยัง
เธอยังพูดถึงคนคุมเกม-ทำราคาหุ้น เข้าไปสะสมหุ้นในเวฟสอง สังเกตุได้จากการทำ complex wave ประเภท double/triple three ที่เป็นลักษณะของการตบขึ้นตบลงของราคาหุ้นให้ sideway ไม่ขยับ จนถึงจุดหนึ่งที่วอลุ่มแห้ง ราคาไม่ไปไหน เวฟสองของหุ้นที่เจ้ามือเก็บของนั้นจะใช้เวลานานอาจเป็นปีๆ เนื่องจากกิจการยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูดำเนินธุรกิจในขั้นต้น-ข่าวดียังไม่ชัดเจน วิธีการเข้าซื้อของรายย่อยคือรอให้ราคายกโลว์ขึ้นไปก่อน-จะได้ไม่ต้องรอนาน
เวฟสาม มักจะยืด ถ้าเวฟสองทำ complex เอาไว้ เพราะเจ้ามือสะสมหุ้นนาน ช่วงที่จบเวฟสองต่อเวฟสามนี้เองจะมีข่าวดีออกมาเพื่อเรียกแขก ตอนนี้จะมีวอลุ่มสูงมาก ราคาอาจจะเปิด gap หรือทำแท่งเขียวยาว เพราะคนจำนวนมากเริ่มเห็นสัญญาณก็เข้ามาซื้อกันมากมาย ในเวฟนี่เราสามารถทำกำไรได้มาก เพราะราคาจะวิ่งไปได้อย่างน้อยก็ 161.8%
ที่ผ่านมาเธอทำกำไรจากหุ้นที่ทำเวฟสามยืดบางตัวเป็นหลัก 1000% ทั้งๆที่เะพื่อนร่วมก๊วนรีบขายตั้งแต่เด้งแรกๆ สาเหตุที่เธอทนถือจนได้กำไรนับสิบเด้งได้เพราะ system trade ของเธอที่ตั้งเงื่อนไขเอาไว้

สอนนับคลื่น Elliott Wave โดย คุณน้ำผึ้ง ตอนที่ 1

เป็นการพูดถึงรูปแบและพฤติกรรมของแต่ละคลื่นใน Elliott Wave เวฟหนึ่งเป็นการเริ่มฟื้นจากขาลงเพราะมีคนกลุ่มหนึ่งเห็นว่ามันลงมาได้ที่แล้ว ถ้าเป็นวีไอก็มองว่าราคาต่ำกว่ามูลค่ามากๆ ก็เลยเข้าไปรับซื้อ-ทำให้ราคาเด้งขึ้นไปเป็นเวฟหนึ่ง แต่เพราะราคาลงมานาน การขึ้นครั้งนี้จึงเป็นแค่การรีบาวนด์ก็เลยถูกนักลงทุนบางส่วนขายออกมากดให้ราคาลงให้เป็นเวฟสอง
เวฟสองเป็นช่วงที่ใช้เวลานานพอสมควรตั้งแต่ครึ่งปีจนถึงหลายปี เพื่อเป็นช่วงเวลาในการสะสมหุ้นเพื่อเตรียมตัวฟอร์มเป็นเวฟสาม ส่วนจะนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับส่วนของพื้นฐานที่เป็นช่วงที่มีการ on process ตาม story ที่บริษัทออกข่าว ว่ามีความคืบหน้าไปมากน้อยแค่ไหน คุณน้ำผึ้งก็จะเข้าไปเก็บช่วงนี้เพราะเห็นว่าราคาไม่ทำนิวโลว์ วอลุ่มเข้าแล้ว
เวฟสามเป็นเวฟมวลชน เป็นการกระตุกราคาขึ้นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนที่ยังไม่สนใจให้เข้ามาร่วมซื้อ จึงเป็นคลื่นที่ขึ้นแรงและเร็ว วอลุ่มซื้อขายมีจำนวนมาก หุ้นลิ่งที่เธอได้มาก็เพราะเธอเก็บตอนเวฟสองไว้ แล้วพอมัน breakout ขึ้นมาเป็นเวฟ 3 มีข้อสังเกตุคือหุ้นที่พุ่งแรงพอมันทำเวฟสามจะเริ่มต้นด้วยการเปิด gap พร้อมวอลุ่ม เรียกว่า breakaway gap เป็นตัวคอนเฟิร์มการเกิดเวฟ 3 และหุ้นลิ่งฉบับน้ำผึ้ง เธอใช้วอลุ่มเป็นตัวช่วยยืนยันว่ามันจะขึ้นจริงหรือแค่หลอก

ทริกเด็ดๆ จาก fulltime trader คุณน้ำผึ้ง สัตตารัมย์

เป็นการ Live ครั้งแรกของเธอ ที่แสดงให้เห็นภาพคลื่นแบบต่างๆ อีเลียตเวฟจะศักดิ์สิทธิ์เมื่อเอามาใช้ร่วมกับวอลุ่ม ในคลิปนี้เธอจัดเต็มเรื่องของ gap ซึ่งถือว่าครบเครื่องเอามากๆ
ทฤษฎี gap ที่เกี่ยวข้องกับเวฟ มีดังนี้
Common gap ในเวฟสอง(sideway)เป็นสัญญาณการเก็บหุ้นของเจ้ามือที่หวงของ เพราะเขาจะตบขึ้น/ลงเพื่อให้เม่าคายหุ้นคืน ยิ่งมีเยอะยิ่งน่าสนใจ gap ประเภทนี้มักจะมีการลงมาปิดในเวลาอีกไม่นาน เพราะราคายังอยู่ในกรอบ sideway เพื่อเก็บหุ้น โดยจะถูกกระชากขึ้นและตบลง เป็นรูปแบบเวฟ complex ประเภท double three
Breakaway gap เป็นการกระโดดข้ามเวฟสองเพื่อเริ่มเวฟสามที่แข็งแรง ซึ่งจะมีวอลุ่มจำนวนมาก ที่สำคัญถ้าจะไปต่อ ต้องไม่ลงมาปิด gap
ในเหตุผลของคนทำราคา ที่ต้องเปิด gap คือเหตุผลที่ว่าหุ้นจะขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีแรงซื้อมากกว่าแรงขาย หากแรงขายหมดหุ้นจะขึ้นได้แรงและเร็วเพราะเมื่อราคาหุ้นวิ่งขึ้นจะไม่มีใครขายใส่ลงมาเหลือแต่แรงซื้อเพียงอย่างเดียว
แต่หากแรงขายยังมีอยู่แล้วถึงเวลาที่หุ้นจะต้องขึ้นแล้วล่ะ ‪#‎เราจะทำอย่างไรให้หุ้นขึ้นได้เร็วและแรง‬ คำตอบคือ ‪#‎เราก็ต้องทำให้คนที่คิดจะขายเปลี่ยนใจ‬...
วิธีการที่ง่ายสุดๆ ที่จะทำให้คนที่คิดจะขายเปลี่ยนใจ คือการทำให้ราคาหุ้นเปิดกระโดดขึ้นไปเยอะๆข้ามผ่านแนวต้านสำคัญไปเลย และหากมาพร้อมกับ Volume แล้วด้วย คนที่คิดจะขายก็จะเปลี่ยนใจเพราะในเวลานั้นก็เห็นๆอยู่ว่ามีแต่คนแย่งกันซื้อด้วย Volume ที่เยอะๆและต้นทุนสูงกว่าเราอีกและแน่นอนที่สุดเราได้กำไรแล้วจะรีบขายทำไม หุ้นเพิ่งเริ่มวิ่งหลังจากปรับฐานเอง... ส่วนใหญ่แล้วหุ้นที่เกิด break away gap จะวิ่งไปเลยโดยที่ไม่วิ่งลงมาปิด gap
Runaway/Measuring gap วัดเป้าได้เลยจากฐานถึง gap ขึ้นมาเท่าไร ราคาเป้าก็จะได้เท่านั้น วอลุ่มไม่ต้องมากก็ได้ จึงเป็นระยะกลางของเวฟ
Exshaustion gap เกิดในช่วงปลายของเวฟห้า จะมี bearish divergence จากนั้นจะเป็นช่วงรินของออก
จากตัวอย่างกราฟแรก คุณน้ำผึ้งโชว์ให้เห็น gap ที่เกิดในช่วง sideway และกลายเป็นแนวรับ ต่อมาราคาพักตัวลง แต่ไม่หลุดลงไปปิด gap จึงตีความว่าต่อไปน่าจะวิ่งแรง และก้เป็นจริงดั่งคาด เมื่อสัปดาห์ต่อมาราคาก็เปิด breakaway gap ข้ามกรอบ sideway ขึ้นไปได้

สอนนับคลื่น Elliott Wave โดย คุณน้ำผึ้ง ตอนที่ 2

อีเลียตเวฟ ช่วยให้เรารู้รอบการซื้อและรอบการขาย การดูวอลุ่มประกอบจะช่วยให้เราจับสัญญาณการขึ้นและลงตามรอบเวฟได้ โดยเวฟหนึ่งวอลุ่มจะเข้ามา แล้วเวฟสองวอลุ่มแห้ง(ราคาก็ลดลงแต่ไม่ทำนิวโลว์ คุณน้ำผึ้งจะเข้าไปเก็บช่วงนี้) แล้วเวฟสามกระตุกขึ้นมาพร้อมวอลุ่มมากที่สุดและราคาก็วิ่งแรงไปหาเป้าฟีโบนาชีซึ่งสามารถไปได้เป็นพันเปอร์เซ็นต์ถ้าเป็นเวฟสามยืดเพราะมีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่อง
จากกราฟหุ้น GREEN เธอบอกว่าเข้าซื้อตอนที่ราคากระตุกเพื่อทำเวฟสามและก็ซื้อเพิ่มตอนที่มันพักตัวลงมาวอลุ่มแห้ง(ซึ่งมันก็คือเวฟสองนั่นเอง)
ที่เวฟสามมีวอลุ่มซื้อขายจำนวนมาก เพราะเป็นช่วงที่ข่าวดีออกมาต้นเทรนด์ สตอรี่ที่มาจากเวฟสองเริ่มออกดอกออกผล ทำให้งบออกมาดีขึ้น
หรืออีกแบบคือ การเกิดเวฟสามที่มาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจ เพราะมีความคาดหวังในทางที่ดีขึ้น จึงเกิดการเก็งกำไรตามข่าวกัน
และเรื่องข่าวนี้เอง คุณน้ำผึ้งให้ข้อสังเกตุว่า ข่าวจะออกมาสองช่วง คือต้นเทรนด์(คือช่วงที่ราคาอยู่ในช่วงต่ำๆ = เวฟ 3) กับปลายเทรนด์(ราคาอยู่ที่สูงๆ = เวฟ 5 ปล่อยข่าวดีเพื่อขายหุ้น) ดังนั้นถ้าดูกราฟเป็นจะช่วยได้มาก
การกดการรีดหุ้น จากตัวอย่างหุ้น GL ซึ่งมี gap ต้นเทรนด์ และก่อนที่จะเปิดโดดพร้อมวอลุ่ม ราคาก็ทำเวฟสองอย่างชัดเจน พอราคาขึ้นไปทำเวฟสามแล้วจะมีอาการตบขึ้นตบลงอย่างชัดเจน แต่ถ้าสังเกตุให้ดีจะเห็นเลยว่าราคายกไฮยกโลว์ขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้นจุดที่ราคาโดนตบลงและวอลุ่มไม่ออก-จึงเป็นจังหวะซื้อที่ดีมาก

สอนนับคลื่น Elliott Wave โดย คุณน้ำผึ้ง ตอนที่ 3 ทฤษฏีห่านบิน
ในทางหุ้นนั้น ทฤษฏีห่านบิน ก็คือหุ้นตัวนำในกลุ่มอุตสาหกรรมไหนวิ่งก่อน สักพักตัวอื่นในอุตสาหกรรมที่มีสินค้า/บริการ/โมเดลธุรกิจแบบเดียวกัน-ก็จะวิ่งตาม อาทิกลุ่มเดินเรือ ถ้า TTA วิ่งนำ สักพัก PSL, JUTHA ก็ต้องวิ่งตาม ดังนั้น-หากเราเข้าซื้อ TTA ที่ทำเวฟสามไปแล้วไม่ทัน ก็ควรไปเปิดกราฟ PSL กับ JUTHA ดูว่าทำเวฟสองรอขึ้นเวฟสามอยู่หรือไม่ ถ้าใช่ ก็เข้าซื้อได้

สอนนับคลื่น Elliott Wave โดย คุณน้ำผึ้ง ตอนที่ 4 วิเคราะห์ข่าว
ข่าวกับเวฟขาขึ้น ยกตัวอย่างการบินไทย ที่มีการออกข่าวว่าจะพ้นวิกฤติและจะพลิกกำไร ก่อนหน้านี้เธอก็เปิดกราฟดูสัญญาณทางเทคนิคก็พบว่าราคาไม่ทำนิวโลว์แถมยกโลว์ขึ้นด้วย การที่ข่าวออกมาในช่วงนี้ก็ถือว่าเป็นข่าวต้นเทรนด์-ถือเป็นสัญญาณซื้ออีกแบบหนึ่ง เพราะมักจะเกิดช่วงปลายเวฟสองต่อเวฟสาม การที่ข่าวออกตอนนี้ก็เพราะต้องการกระตุ้นให้แรงซื้อมีความมั่นใจไล่ซื้อจนเอาชนะแรงขายได้ วันต่อมาก็เกิด gap up พร้อมวอลุ่มสูงปรี๊ดทันที จึงเป็นตัวยืนยันของการเริ่มต้นทำเวฟสามที่แข็งแรงตั้งแต่นั้นมา
การเก็บหุ้นที่ราคาต่ำๆนั้นสามารถทำได้ เพียงแต่เรารู้ว่าราคามันทำ bottom จบรอบเวฟไปแล้ว และกำลังเริ่มรอบใหม่
ข้อระวังในการซื้อตามข่าว คือต้องคิดให้ดีและมั่นใจว่าผู้ให้ข่าวนั้นต้องมีความน่าเชื่อถือ ประกอบกับการดูกราฟเป็น จะช่วยให้เราทำกำไรได้
คุณน้ำผึ้งเป็นคนที่ขยันมาก เธอจะทำลิสต์หุ้นที่อยู่ในขาลงทั้งหมด และทำการบ้านว่าราคามันลงจนจบรอบเวฟแล้วหรือยัง เมื่อประกอบกับการตามข่าวตลอดก็จะทำให้เธอเจอโอกาสซื้อที่ได้ราคาดีกว่าคนอื่นๆ เพราะถ้าข่าวมาพร้อมกับเทคนิคอลที่จบรอบคลื่นและกำลังรอยิงเวฟสาม-ถือว่าเป็นข่าวดีต้นเทรนด์อันเป็นสัญญาณซื้อที่ได้เปรียบมากๆ
อีกเคสคือ SOLAR เป็นการสื่อถึงข่าวที่ออกมาตอนปลายเทรนด์ จากนั้นราคาก็ขึ้นไปอีกไม่มาก ซึ่งเป็นการเข้าซื้อที่ยอดดอยนั่นเอง ข่าวเป็นองค์ประกอบรอง ที่จะเป็นสตอรี่สนับสนุนให้คนเข้ามาเก็งกำไร ตัวหลักที่เธอใช้คือเทคนิคอล-ดูเวฟเป็นหลักว่าจบรอบหรือยัง เป็นต้นเทรนด์หรือปลายเทรนด์ เธอบอกว่ายังนับเวฟทุกวัน การดูเวฟของเธอจะตรวจทั้งภาพใหญ่และเล็ก ภาพใหญ่(weelky/daily)ใช้ดูรอบเหมือนแผนที่ แต่ภาพเล็ก(60-30-15-5 นาที)ใช้หาจุดเข้าซื้อที่ถูกจังหวะ/หรือยังไม่ถึงเวลาเข้า ฟังดูเหมือนยาก แต่ถ้าคุณฝึกฝนจนมีทักษะเชี่ยวชาญแล้ว การมองปราดแค่วินาทีก็พอรู้แล้วล่ะว่ามันอยู่เวฟไหน รู้อย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องเข้าใจ และฝึกให้เกิดทักษะ

สอนนับคลื่น Elliott Wave โดย คุณน้ำผึ้ง ตอนที่ 5 วิกฤตเศรษฐกิจ

จากคลิปนี้เราจะได้เห็นการนับคลื่นจากการมองภาพใหญ่ จะได้รู้ว่าเขากำหนดจุดสุดท้ายของเวฟยังไง ในช่วงที่วิกฤติเราจะได้ราคาหุ้นที่มีพื้นฐานดีแต่ราคาถูกมากๆ เธอบอกว่ายังมีหุ้นไทยบาง sector บางหมวดถ้าไปเจาะสตอรีดีๆ มีหลายตัวทำ bottom ของเวฟสองแล้ว มีทั้งกำลังจะจบ หรือบางตัวก็กำลังฟอร์มเวฟสามพร้อมจะระเบิด เธอคิดว่าไม่น่าเกินปีสองปีนี้จะมีหุ้นประเภทหลาย 10 เด้ง กำลังจะกลับมาอีกครั้ง เพราะตามที่เธอเช็คกราฟและสตอรี่แล้วพบว่ามีเกือบ 20 กว่าตัว โรงพยาบาลเป็นปลายเทรนด์แล้ว กำลังขึ้นเวฟห้า

เรียนรู้ Price Pattern กับ Elliott Wave

คุณน้ำผึ้งเชื่อว่าตลาดหุ้นเป็นเรื่องของ money game การที่หุ้นจะขึ้นได้ต้องมีช่วงสะสมของก่อนในรูปแบบของ double bottom กับ triple bottom หรือ inverse head and shoulder หรือ dragon pattern และ cup with handle
และก่อนที่หุ้นจะลงก็จะมีการรินขายของ ทำให้เกิดรูปแบบราคา double top, triple top, head and shoulder พวกนี้จะเกิดขึ้นพร้อมสัญญาณ bearish divergence ตัวอย่างเช่นหุ้นขึ้นไปทำเวฟสามที่ 3 บาท ต่อมาย่อทำเวฟสี่ที่ 2.50 ต่อมาราคาวิ่งขึ้นไปชน 3 บาทแต่ไม่ผ่านพร้อมกันนั้น RSI ก็ยกยอดต่ำลง ถ้าเจอแบบนี้ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าน่าจะจบรอบ
Head and shoulder ประกอบด้วยใหล่ซ้าย หัว และ ไหล่ขาว ตามลำดับ ถ้าเอาอีเลียตเวฟมาจับก็จะได้ว่าไหล่ซ้าย คือเวฟสาม แล้วจุดสูงสุดของ pattern ที่เรียกว่าหัวก็คือเวฟห้า ส่วนไหล่ซ้ายที่เหลือก็คือเวฟ B นั่นเอง มันก็คือรูปแบบกลับตัวจากจุดสูงสุด อันเป็นจุดจบของแนวโน้มขาขึ้นนั่นเอง
Dragon Pattern เป็น pattern ที่นักลงทุนชอบมองหากันเยอะ เพราะเป็นสัญญาณของการเป็นขาขึ้นรอบใหม่ คุณน้ำผึ้งบอกว่ามันก็คือคลื่นสุดท้ายเพื่อจะจบรอบของขาลง-แล้วก็จะเริ่มเป็นขาขึ้นรอบใหม่ ส่วนประกอบของมันก็มี หัวมังกร(1C) คอ(2C) ขาหน้า(3C) หลังมังกร(4C) และขาหลัง(5C) โดยมีข้อสังเกตุที่น่าสนใจว่า ถ้าขาหลังไม่ลงลึกไปเท่าขาหน้า จะเป็นสัญญาณ bullish มากๆ คนทั่วไปเมื่อเจอรูปแบบนี้จะหาจุดซื้อโดยการลาก trendline พาดจากหัวผ่านหลังลงมาดักไว้ ถ้าราคาผ่านเส้นนี้ก็เข้าซื้อ แต่โดยส่วนตัวของคุณน้ำผึ้งแล้วเธอจะซื้อก่อนตรงที่ขาหลัง-โดยเธอจะใช้การวัดดูว่ามันจบรอบ 5C หรือยังถ้าจบก็ซื้อตรงจุดนั้นเลย
Cup with handle นี่ก็เป็นอีกรูปแบบที่ใช้หาจุดจบของขาลง เพราะมันคือการทำเวฟหนึ่งที่ขอบถ้วย พอมันลงมาถึงจุดต่ำสุดก็คือเวฟสอง จากนั้นเมื่อราคาฟื้นตัวขึ้นไปทำขอบอีกข้างก็จะเป็นการฟอร์มตัววิ่งเป็นเวฟสาม โดยก่อนที่จะผ่านไฮเดิมคือยอดของเวฟหนึ่งราคาก็จะย่อตัวลงทำเป็น sub wave ของเวฟสามก่อน แล้วค่อยกระชากขึ้นไปทำให้จบคลื่น ตัวอย่างในอดีตคือ TIPCO ที่เธอได้เข้าซื้อตอนที่มันย่อลงมาทำหูถ้วยราคาประมาณ 12 บาท เพราะได้ลองวัดฟีโบดูก็พบว่ามันลงมาได้ที่แล้วก็เลยเข้าซื้อ โดยคำนวนเป้าหมายราคาแบบง่ายๆคือ เอาค่าส่วนสูงจากเวฟหนึ่งลงมาหาเวฟสองเป็นระยะอ้างอิงว่าราคาควรจะไปได้ถึงระดับความสูงนั้น-ก็เลยได้ขายที่ราคา 22 บาท เธอบอกอีกว่าถ้าคนที่มีความรู้อีเลียตเวฟก็จะไปเก็บที่ก้นคือตอนที่มันจบเวฟสองคือไม่ได้ทำนิวโลว์-แต่ถ้าไม่ทันตอนนั้นก็ไปรอซื้อตอนย่อในช่วงหูถ้วยแบบเธอ
Double bottom มองในรูปเวฟก็คือการทำขา 3C กับ 5C นั่นเอง การเด้งครั้งต่อไปก็คือการทำขาขึ้นรอบใหม่ คนที่เล่นเขาจะดูว่าการลงครั้งที่สองถ้าไม่หลุดโลว์เดิมก็ซื้อ-ถ้าขึ้นก็ได้ของถูก แต่หากหลุดก็ขายทิ้งเท่านั้นเอง
Triple Bottom คล้ายตัวที่ผ่านมา แต่ลงมาทดสอบแนวรับสามครั้ง หากพบว่า RSI bullish divergence แถมวอลุ่มเข้ามา support ด้วย ก็จะเป็นตัวยืนยันว่าการกลับตัวมีโอกาสสูง เมื่อมองในมุมของอีเลียตเวฟก็บอกได้ว่าเป็นการจบ corrective แล้วต่อไปก็จะเป็นการทำ impulse ขึ้นไป

รู้จักทฤษฎี Dow Theory



ทฤษฎี Dow Theory กับเสันแนวโน้ม (ตอนที่ 2)