วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

การวิเคราะห์บริษัทโดยใช้งบการเงินเป็นตัวเริ่มต้นจะช่วยให้สามารถ focus ไปที่ละส่วน โดยไม่หลุดประเด็นสำคัญ (1) ลูกค้า-ลูกหนี้-ขาย

การวิเคราะห์บริษัทโดยใช้งบการเงินเป็นตัวเริ่มต้นจะช่วยให้สามารถ focus ไปที่ละส่วน โดยไม่หลุดประเด็นสำคัญ (1) ลูกค้า-ลูกหนี้-ขาย


เมื่อเริ่มวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทใดๆ หลักที่แนะนำคือ
  1. ทำธุรกิจใดจริงๆ อย่าดูหมวดที่จัดจากตลาดหลักทรัพย์ เพราะอาจทำให้เรามองผิดพลาดได้ ตัวอย่าง เช่น หมวด Energy มีทั้ง BANPU PTT TOP AKR GONKUL SOLAR เป็นต้น ทั้งหกตัวที่เห็นแม้จะเกี่ยวพันกับพลังงานก็จริง แต่กระบวนการผลิต ขาย วิธีการดำเนินธุรกิจ การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ  (Asset Allocations) ต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ค่า P/E  ก็ดี P/BV ก็ดี หรือการหามูลค่าแท้จริงด้วย DCF Model ก็ดี ใช้การเทียบเคียงระดับ (P/E P/BV) หรืออ้างอิงความเสี่ยงเพื่อกำหนด่าตัวคิดลด หรือเทียบเคียงหาตัว Multiplier ที่ใช้คูณ Terminal Value ใน DCF Model ไม่ได้เลย มันผิดหลักการทั้งหมด BANPU จริงๆ ทำเหมืองถ่านหิน PTT และ TOP ทำธุรกิจผลิตน้ำมัน PTT ถือหุ้นในกลุ่มกว้างกว่า TOP บริษัท PTT ดูจะมี Value chain ดูจะยาวกว่า ส่วน AKR GONKUL ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าขาย SOLAR ดุให้ดี รับเหมาก่อสร่าง เพียงแต่ลูกค้าคือคนสร้างโรงงาน บ้านพลังงานแสงอาทิตย์ รายได้มาจากการรับก่อสร้างมากกว่าการขายไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โครงสร้างงบดุลต่างกัน งบกำไรขาดทุนต่างกัน เอาไปเทียบกันไม่ได้เลย
  2. เมื่อมองธุรกิจที่กระบวนการดำเนินธุรกิจชัดก็จะวิเคราะห์คาดการณ์ได้ถูกต้อง เพราะอะไร อย่าลืมครับว่า การบันทึกทางบัญชี ลงรายการตามลักษณะ Activities ที่เกิดเป็นหลัก ไม่ใช่ลงตามอย่างอื่น จัดรายการที่เกิดเป็น function เช่น ลูกหนี้ ขาย สินค้า เจ้าหนี้ เงินกู้ยืม เป็นต้น การเกิดรายการเหล่านี้ส่งผลต่อรูปแบบรายได้ ค่าใช้จ่าย และสุดท้ายก็คือกำไร ถ้าผลิตขาย สุดท้ายก็คือกำไรเพียงพอต่อการลงทุนในสินทรัพย์หรือไม่ ไม่ใช่ว่าทำอะไรอย่างเดียว อย่างคนที่มองเรื่องพลังงานทดแทน ควรมองให้ดีว่าธุรกิจนั้นผลิตพลังงานทดแทนขาย หรือรับจ่างสร้างโรงงานขาย เพราะผลิตพลังงานขายลงทุนสร้างครั้งเดียว เก็บกินกำไรได้นานหลายสิบปี แต่รับจ้างสร้างโรงงาน พอสร้างเสร็จรายได้ก็จบต้องหาลูกค้าใหม่ รายได้มาทีเยอะ แต่ไม่แน่นอน
  3. ดังนั้น ควรตรวจเบื้องต้นด้วย common size ธุรกิจแต่ละลักษณะการดำเนินงาน จะมีโครงสร้างสินทรัพย์ต่างกัน โครงสร้างทุนต่างกันไป ไม่ใช่เพียงแต่ลักษณะธุรกิจเท่านั้น อัตราส่วนที่เน้นก็ต่างไป เราไม่ต้องวิเคราะห์ทุกอัตราส่วนเหมือนกัน ธุรกิจที่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ PPE มาก ลูกหนี้สัดส่วนน้อย การวิเคราะห์ AT FAT ROA CFROA สำคัญกว่าการดู CR QR CC AR มาก บางครั้งไม่ต้องดูด้วยซ้ำ
    1. ตัวอย่างการวิเคราะห์ธุรกิจตามรายการในงบดุลหรืองบแสดงฐานะการเงิน เช่นรายการลูกหนี้การค้า ซึ่งก็คือความสัมพันธ์ของ ลูกค้า-ลูกหนี้-ขาย แค่ละกิจการ แต่ละประเภทมีผลต่อแนวโน้มระยะยาวของรูปแบบกำไร เงินสดที่ได้รับ ความเสี่ยงของธุรกิจ เช่น 
4.1.     อสังหาริมทรัพย์ ลูกค้าธุรกิจนี้ เกิดแล้วจบ ต้องนับหนึ่งใหม่ทุกปี มีรายได้ กำไร ไม่แน่นอน คาดการณ์ยาวๆได้ยาก อสังหาริมทรัพย์หาลูกค้าซื้อแล้วไม่กลับมาซื้อซ้ำ เพราะบ้าน คอนโด ไม่ใช่ของกิน ส่วนมากซื้อแล้วใช้ครั้งเดียว Growth จึงมาจากกำลังซื้อใหม่ ขึ้นกับเศรษฐกิจ ภาวการณ์ว่างงาน ภาระหนี้ครัวเรือน อัตราดอกเบี้ย NPL ในระบบ เพราะถ้าธนาคารเข้มงวดปล่อยกู้ ยอดขายก็ไม่เกิด ธุรกิจนี่ไม่มีลูกหนี้ ดูเหมือนขายสดแต่ไม่ใช่ ลูกค้ากู้มาซื้อบ้าน ธุรกิจกู้มาสร้างบ้าน รับกระเป๋าซ้าย จ่ายกระเป๋าขวา
4.2.     รับเหมาก่อสร้าง ลูกค้าก็เป็นลักษณะคล้ายกับอสังหาริมทรัพย์ เกิดครั้งเดียว จบโครงการก็เริ่มใหม่ ไม่ต่อเนื่องกับลูกค้าเดิม รายได้ก็รับรู้แบบวิธีประมาณการ ไม่ได้สัมพันธ์กับเงินสด คาดการณ์ยาก มองยาวๆ ผิดได้ง่าย กำไรวันนี้ไม่ได้ยืนยันวันหน้าว่าจะดี หรือวันนี้แย่ พรุ่งนี้อาจดีเลยก็ได้ แต่ก็คือของแค่พรุ่งนี้จบจากนี้จะมีโครงการใหม่ๆอย่างไรต้องลุ้น จึงเสี่ยงสุดๆ
4.3.     กลุ่มที่ให้บริการด้านสาธารณูปโภค เช่น ขายไฟฟ้า ขายน้ำ จะมีลูกค้าประจำ ดังนั้นรายได้ และกำไร จึงสามารถคาดการณ์ได้ค่อนข้างแม่นยำ รายได้ส่วนมากมีการผูกพันโดยสัญญา  ความแน่นอนของรายได้สูง กลุ่มพวกนี้จัดเป็น Defensive Stock รายได้จะไม่ผันผวนไม่โตหวือหวา เว้นแต่ขยายขนาดกำลังการผลิต คือลงทุนมากๆ มีสัญญาใหม่ๆ เพิ่มตามการลงทุน ลูกค้ามักเป็นรัฐวิสาหกิจ หรือภาคธุรกิจโรงงานต่างๆ ในนิคม จึงไม่ค่อยมีปัญหาหนี้เสียมากนัก
4.4.     กลุ่มให้บริการโทรคมนาคม โทรศัพท์ มีลูกค้าขาประจำที่เป็นโดยพฤติกรรม การคาดการณ์รายได้ กำไร จึงไม่ค่อยผิดพลาดมากนัก ความเสี่ยงธุรกิจจึงไม่ใช่ที่ลูกค้ามากนัก
4.5.     ธุรกิจทางการเงิน เช่น ธนาคาร, ปล่อยกู้-เช่าซื้อ กลุ่มนี้มีลูกหนี้ปล่อยกู้เป็นสินทรัพย์หลัก คุณภาพลูกหนี้จึงสำคัญที่สุด ต้องพิจารณาหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้กำไรของธุรกิจไม่แน่นอน และมีความเสี่ยงสูงตามภาวะเศรษฐกิจ กลุ่มนี้ต้องดูว่า Loan Portfolio เป็นอย่างไร เช่าซื้อมีลูกค้ากลุ่มเดียวแบบเดียว จึงเสี่ยงมากกว่าธนาคาร เวลาพูดถึงความเสี่ยงหมายความว่า เมื่อกำไรพุ่งก็สูงมาก แต่เวลาตกก็ร่วงรุนแรง ดังนั้นหุ้นกลุ่มนี้หากจะลงทุนระยะยาว 5-10 ปี อย่าคาดการณ์ด้านดีอย่างเดียว ต้องมองกลางๆ มักตามภาวะเศรษฐกิจ ผันผวน
4.6.     ธุรกิจประกัน แยกได้คือ ประกันวินาศภัย และประกันชีวิต รายได้กลุ่มนี้ต่างกัน ถ้าวินาศภัย รายได้รับรู้จากลูกค้าที่มักจ่ายค่าประกันปีต่อปี ความมั่งคงรายได้จะขึ้นกับฐานลูกค้าประจำ เช่นกลุ่มธุรกิจในเครือข่าย ขยายตัวขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ส่วนมากจะเพิ่มขึ้น รายได้ ไม่ใช่กำไรนะครับ หากบริการดี ลูกค้ามีความพอใจและมั่นใจก็ซื้อซ้ำประจำต่อเนื่อง
4.7.     ส่วนประกันชีวิต ข้อดีคือลูกค้าเมื่อซื้อประกันชีวิตจะจ่ายต่อเนื่องไปหลายๆปีจนจบสัญญา ดังนั้นรายได้จะเกิดต่อเนื่อง คาดการณ์ไม่ค่อยยาก (ในแง่รายได้นะครับย้ำ)
4.8.     กลุ่มค้าปลีก รายได้และการขยายตัวมาจากการเปิดสาขาใหม่เพิ่มเติม รายได้แต่ละสาขาขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจและอำนาจซื้อของครัวเรือน การคาดการณ์การขยายตัวของรายได้จึงต้องพิจารณาสองด้านคือ การขยายการลงทุนและอำนาจซื้อของประชากร อำนาจซื้อมากแต่ไม่ขยายสาขา รายได้ก็โตไม่เร็ว ขยายสาขาแต่อำนาจซื้อน้อยรายได้อาจโตแต่ความสามารถทำกำไรจากการลงทุนในสาขาลดลง
4.9.     โรงพยาบาล รายได้ค่อนข้างเติบโตแบบมั่นคง การก้าวกระโดมากๆ มักมาจากการ Takeover หรือซื้อกิจการโรงพยาบาลอื่น เพราะโดยธรรมชาติลูกค้าโรงพยาบาลไม่ชอบการเจ็บป่วย คงไม่มีใครอยากเข้าโรงพยาบาลซ้ำๆ ถี่ๆ สิ่งที่จะเปลี่ยนแนวโน้มจึงเป็นระยะยาวมากกว่าการเปลี่ยนทันทียกเว้นการซื้อกิจการโรงพยาบาลอื่น การคาดการณ์รายได้จากสินทรัพย์ปัจจุบันคือการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป มากกว่าการประมาณแบบก้าวกระโดด
4.10.    กลุ่มส่งออก การคาดการณ์กลุ่มนี้มีสองมิติหลักคือ อัตราแลกเปลี่ยนและภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ค่าเงินบาทที่อ่อนเป็นผลดีต่อการส่งออก และการเติบโตเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าด้วยแต่ก็ต้องระวังเรื่องการแข่งขันด้วย ดังนั้นการคาดการณ์รายได้จึงมีความเสี่ยงหลายมิติมาก ทั่งค่าเงิน ภาวะเศรษฐกิจนอกประเทศ และการข่างขันในตลาดโลก
การคาดการณ์รายได้ การวิเคราะห์ธุรกิจ เราก็เริ่มจากงบการเงินนี่แหละครับ ไม่รู้จะเริ่มอะไร ก็วิเคราะห์จากงบดุลหรืองบแสดงฐานะการเงิน นานเข้าก็จะเชี่ยวชาญมากขึ้น ด้านอื่นๆ ก็เช่นกัน สินค้าคงเหลือ เงินลงทุน ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ไว้จะค่อยๆ นำมาดูทีละรายการในงบการเงินกันครับ    

Credit:https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul

สรุปประเด็นบางประการในการอ่านงบการเงิน

สรุปประเด็นบางประการในการอ่านงบการเงิน


สรุปประเด็นบางประการในการอ่านงบการเงินที่นักลงทุนสามารถใช้ช่วยตีความในกิจกรรมของธุรกิจ ซึ่งหากนำไปร่วมประเมินกับอัตราส่วนทางการเงินที่วิเคราะห์จะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น

- การเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียน บ่งบอกถึงกิจกรรมดำเนินงานว่าเป็นอย่างไร การเพิ่มขึ้นส่วนมากจะชี้ถึงบริษัทในรอบบัญชีนั้นมีกิจกรรมการตลาด การผลิตมากขึ้นมักจะมีแนวโน้มว่าเน้นกลยุทธ์เชิงรุกมากขึ้น รอบบัญชีนั้นๆมักจะวุ่นวายกับ ปัญหาธุรกิจรายวันมักจะเป็นเรื่องซื้อๆ ขายๆ หรือการผลิตในโรงงาน หนี้ระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นมากมักจะมีปัญหาการหมุนเวียนเงินสดในมือ บางธุรกิจอาจจะสะดุด บางธุรกิจเงินเข้าได้เดี๋ยวเดียวจ่ายออกอีกแล้ว เป็นต้น ซึ่งสังเกตได้จาก วงจรเงินสดยาวขึ้น Current ratio ลดลง กระแสเงินสดจากการดำเนินงานลดลงหรือ QE (คูณภาพกำไร) ลดลง เป็นต้น

- การเปลี่ยนแปลงในลูกหนี้การค้ามากบอกได้ว่าขายของเพิ่มมากขึ้นแน่ ซึ่งยังบอกได้อีกว่าทำตลาดมากขึ้นอาจขายมากและขยายเครดิตยาวขึ้นก็ได้ หรือขายแล้วเก็บเงินไม่ค่อยได้ก็ได้เช่นกัน แต่ต้องดูอัตราส่วนการเงินที่เกี่ยวข้องด้วย ส่วนถ้าลูกหนี้การค้าลดลงก็เป็นทั้งสัญญาณที่ดีและไม่ดีได้ เช่น เก็บเงินเร็วขึ้นหรือบางครั้งอาจตั้งสำรองหนี้สูญสูงขึ้นมากกว่าปกติ บางครั้งดูคู่กับการวิเคราะห์แนวโน้มก็ได้แล้วสามารถสรุปประเด็นบางอย่างได้เช่นกัน และถ้าเราไปอ่านหมายเหตุประกอบงบการเงินเพิ่มเติมพิจารณาที่ระยะเวลาค้างชำระหนี้ เราก็อาจจะพบอะไรในลูกหนี้ได้อีก

- การเปลี่ยนในสินค้าคงเหลือ ในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องการผลิตและซื้อวัตถุดิบหรือสินค้าเป็นหลัก สินค้าคงเหลือที่เพิ่มขึ้น ถ้าเพิ่มขึ้นสูงในส่วนวัตถุดิบ มองได้หลายมุมเข่น แนวโน้มราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นสูงมาก หมายความว่าในงวดบัญชีหน้าต้นทุนขายจะสูงขึ้นหรืออาจหมายถึงวัตถุดิบถูกซื้อมาตุนไว้ เพราะมีคำสั่งล่วงหน้าในมือมาก? ของซื้อมาแล้วผลิตไม่ได้? สินค้าลดลง ถ้างานระหว่างทำเพิ่มขึ้นมากหรือสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นมาก สัญญาณเหล่านี้ล้วนสามารถบ่งบอกเหตุการณ์ในธุรกิจได้อย่างดี และเช่นเดียวกับการวิเคราะห์ลูกหนี้ต้องพิจารณาอัตราส่วนทางการเงินและพิจารณาหมายเหตุประกอบงบการเงินด้วย การดูควรประกอบกับ inventory turnover ratio จะได้ภาพที่ชัดขึ้น

- สินทรัพย์หมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้นมาก ต้องดูรายละเอียดในหมายเหตุประกอบฯ ถ้าไม่บอกไว้อาจบ่งชี้บางอย่างที่ซ่อนเร้นโดยปกติรายการนี้อาจดูจากสัดส่วนในอัตราร้อยละยอดรวม (Common Size) ซึ่งควรใกล้เคียงเดิม การเพิ่มมาก (สัดส่วน) ที่สูงผิดปกติ อาจบ่งบอกกิจกรรมที่ไม่ปกติของธุรกิจที่เกิดในงวดนั้นๆ

- เงินลงทุนเพิ่มขึ้น ในงบการเงินรวมส่วนนี้จะหมายถึงเงินลงทุนในกิจการอื่นที่มีสัดส่วนน้อยกว่า 50% ถ้าสูงกว่านี้จะต้องนำมาจัดทำงบการเงินรวมเพราะถือเป็นบริษัทย่อย แต่ถ้ายังสูงกว่า 20% เงินลงทุนต้องบันทึกด้วยวิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) วิธีนี้ผลกำไรขาดทุนของบริษัทที่ไปลงทุนจะนำมารวมตามสัดส่วนที่ถือหุ้นถ้ามีการจ่ายปันผลเงินลงทุนนี้ก็จะลดลง อาจมองง่ายๆ ว่าเงินลงทุนที่ใช้วิธี Equity นี้จะขึ้นลงตามส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ลงทุนอยู่ ถ้ามูลค่ารวมต่ำกว่าทุนที่นำไปลงครั้งแรกแปลว่าบริษัทร่วมหรือย่อยเหล่านั้นขาดทุนซึ่งโดยปกติถ้าขาดทุนตลอดต่อเนื่อง อาจมีการใช้บริษัทย่อยเป็นตัวผ่องถ่ายกำไรหรือสินทรัพย์ก็ได้ เช่น มีค่าใช้จ่ายการบริหารสูงเกินจริง ขายสินค้าให้กับบริษัทที่กรรมการหรือผู้บริหารแอบไปถือหุ้นไว้ในราคาต่ำกว่าตลาดหรือซื้อวัตถุดิบจากบริษัทเหล่านั้นในราคาที่สูงเกิน บางครั้ง การเพิ่มขึ้นสูงมากในงบโดยเฉพาะเงินเข้าลงทุนครั้งแรกอาจตั้งซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิมสูงเกินราคาปัจจัยพื้นฐาน ถ้าเป็นบริษัทจะเห็นได้จากการมีค่านิยมสูง ส่วนบริษัทร่วมจะไม่เห็น แต่สังเกตได้จากหมายเหตุประกอบงบการเงินที่เงินลงทุนตามสัดส่วนที่ลงทุน สูงกว่าทุนจดทะเบียนสูงมากกว่าที่ควรเป็น เป็นต้น แต่ถ้าจะพิจาณาในแง่ยุทธ์ศาสตร์เงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นในบริษัทย่อยมักจะเกี่ยวข้องกับการกำหนดยุทธ์ศาสตร์โดยตรงในธุรกิจใหม่ที่สร้างโอกาสตลาดที่แตกต่างจากกลุ่มเป้าหมายตลาดเดิม (Existing Market) แต่ถ้าเพิ่มในบริษัทร่วมมักจะเป็นด้านการสร้างพันธมิตรธุรกิจหรือเครือข่าย (Network) การวิเคราะห์กรณีบริษัทร่วมดูส่วนแป่งกำไรเทียบกับเงินลงทุนร่วมว่าเป็นกี่ % นั่นคือผลตอบแทนในการลงทุนคร่าวๆ น้อยแสดงว่าการลงทุนไม่คุ้มเท่าไรทางการเงิน ส่วนบริษัทย่อยในงบรวมถูกรวมเข้าไว้แล้วเปรียบเหมือนแผนกหนึ่งการมองให้ดูภาพรวมร่วมไปกับบริษัท

-ที่ดินอาคารและอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้น โดยทั่วไปจะเป็นการลงทุนในลักษณะขยายกำลังการผลิต เช่นสร้างโรงงานใหม่ ซื้อเครื่องจักเพิ่มขึ้น มีธุรกิจจำนวนไม่มากนักที่ขายสินค้าที่แตกต่างจากเดิม ต้องผลิตสิ่งใหม่ที่ต่างจากเดิม 180 องศา เช่นจากธุรกิจเกษตรแปรูปเนื้อสัตว์ (ไก่) แช่แข็งส่งออก แล้วจะทำโทรคมนาคมจะรวมเอาธุรกิจมาไว้ในบริษัทเดิมทั้งหมด เพราะกระบวนการดำเนินงาน (operating supply chain) แตกต่างสิ้นเชิง กลุ่มเป้าหมายทางตลาดก็ต่างกัน แม้แต่ในธุรกิจโทรคมนาคม เดิมกิจการทำโทรศัพท์ระบบมือถือถ้าจะเพิ่มธุรกิจดาวเทียมก็จะแยกออกไปตั้งบริษัทใหม่ จะไม่มารวมกันโดยตรงแต่ใช้วิธีการควบคุมกิจการเหล่านี้ผ่าน Holding Company การสังเกตการเปลี่ยนแปลงตัวเลขในรายการนี้ เราก็จะพอคาดได้ว่าธุรกิจปัจจุบันบริษัทมองอนาคตอย่างไรบ้าง ถ้าเป็นกรณีที่มองภาพรามแล้วหลากหลายมาก เมื่ออ่านงบให้ดู งบแยกตามส่วนงานประกอบ ซึ่งจะแบ่งสินทรัพย์ หนี้สิน กำไร ไว้แยกชัดเจน แต่บ่งบอกภาพรวมๆ แต่เท่านี้เราก็พอใช้ดูว่าธุรกิจใดทำกำไรมากหรือน้อย ปีต่อๆไป ธุรกิจใดจะเพิ่มกำไรมากขึ้น บางบริษัทส่วนธุรกิจ A อาจมีอัตรากำไรสูงแต่สัดส่วนสินทรัพย์และกำไรน้อย แสดงว่าแม้จะเติบโตมากก็ไม่มีผลต่อกำไรโดยรวม เราจึงอาจเพียงแค่ติดตามห่างๆว่านโยบายการลงทุนและกลยุทธ์ในภาพรวมไปทิศทางธุรกิจ star นั้นไหม และต้องลงทุนเท่าไรกำไรถึงมีนัยต่อภาพรวมเป็นต้น

- ส่วนด้านหนี้สินที่เพิ่มหรือลด จะเกี่ยวข้องกับการตัดสินในการจัดหาเงินโดยตรง เราจะเรียนรู้การตัดสินใจด้านการเงินของผู้บริหารได้ดีว่ามีความรู้ความเข้าใจการเงินเป็นอย่างไร มีลักษณะเป็นผู้บริหารที่ชอบเสี่ยงมากหรือน้อย หนี้ระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นเร็วอาจบอกเราได้อย่างเช่น กิจการนั้นมักเผชิญปัญหาทางการเงินระยะสั้นบ่อยและเป็นปัญหาเฉพาะหน้า แสดงว่าวางแผนการเงินยังไม่รัดกุมดีพอ หรืออาจมีเครดิตการเงินไม่ดีนักจึงมักกู้เงินได้แต่ระยะสั้น การจัดสรรสัดส่วนหนี้ระยะสั้นและระยะยาวบอกถึงวิธีการบริหารการเงินกับธุรกิจได้มาก และเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความอยู่รอดของธุรกิจในระยะยาว สัดส่วนที่สำคัญคือ  D/E ratio

Credit:https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul

การวัดราคาหุ้นด้วย P/E ratio : โดย สันติ สิงหวังชา

การวัดราคาหุ้นด้วย P/E ratio : โดย สันติ สิงหวังชา


การประเมินราคาแบ่งได้เป็น 2 วิธีหลักๆ วิธี discount (DCF) นั้นผมไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าเป็นวิธีที่ไม่ดี เพราะถ้านักลงทุนสามารถที่จะประมาณและคาดการณ์อนาคตได้ค่อยข้างแม่นยำ วิธี discount เป็นวิธีที่ให้คำตอบได้ดีมาก
ใครสนใจการประเมินแบบ discount แนะนำให้อ่านหนังสือ วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง เขียนโดย คุณสุมาอี้(นามแฝง) ผมเองเพิ่งอ่านจบไปเมื่อกี้นี้เอง อ่านเข้าใจง่ายและมีตัวอย่างการวิเคราะห์หุ้นของจริงๆให้เห็นหลายรูปแบบ ซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป
คราวนี้เรากลับมาพูดถึงวิธี Relative กันบ้างดีกว่า ติดค้างกันไว้นานแล้ว
วิธี Relative ที่ผมใช้บ่อยที่สุดคือ P/E ratio โดยที่ P คือ ราคาหุ้น ในขณะที่ E คือกำไรต่อหุ้น ความหมายของ p/e มองได้ง่ายๆคือ จำนวนปีที่จะคืนทุนโดนสมมุติว่ากำไรคงที่ตลอด
เช่น เราซื้อหุ้นราคา 10 บาท กำไรต่อหุ้น 2 บาท เพราะฉะนั้นถ้ากำไรของบริษัทยังคงที่ไปตลอด การลงทุนครั้งนี้ก็จะมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 5 ปี ดังนั้น ถ้าสมมติว่าหุ้นทุกตัวในตลาดมีกำไรคงที่ตลอด หุ้นที่น่าซื้อที่สุดคือหุ้นที่ pe ต่ำที่สุด หรือ มีระยะเวลาคืนทุนต่ำที่สุดนั้นเอง
แต่ชีวิตจริงมันไม่ง่ายอย่างที่เราสมมตินะซิ กำไรของหุ้นในตลาดนั้นมีทั้งเพิ่มขึ้น ลดลง หรือคงที่ ด้วยอัตราที่แตกต่างกันไป เลยเป็นที่มาว่าหุ้นแต่ละตัวจะมี pe ที่เหมาะสมไม่เท่ากัน
ลองมาดูตัวอย่างง่ายๆ ข้างล่างนี้
หุ้น a มีกำไรคงที่ตลอด
หุ้น b มีแนวโน้มกำไรเติบโต
หุ้น c มีแนวโน้มกำไรลดลง
หุ้น d มีกำไรผันผวนเอาแน่เอานอนไม่ได้
สมมติหุ้นทั้ง 4 ตัวมี pe เท่ากับ 6 เหมือนกันหมด ถ้าให้เลือกหุ้นได้ตัวเดียวเราควรจะซื้อหุ้นตัวไหน จริงๆแล้วคงตอบได้ไม่ยากว่าหุ้น b น่าจะเป็นการลงทุนที่ดีที่สุด เพราะถ้ากำไรไม่โตก็ใช้เวลา 6 ปีในการคืนทุน ถ้ากำไรโตขึ้นด้วยเวลาคืนทุนก็น่าจะสั้นกว่า 6 ปี แต่ถ้าถามกลับกันว่าหุ้นตัวไหนที่ไม่ควรซื้ออย่างมาก ก็น่าจะเป็นหุ้น c เพราะระยะเวลาคืนทุนน่าจะยาวกว่า 6 ปีเป็นแน่ หรือดีไม่ดีอาจจะไม่มีโอกาสคืนทุนเลยก็ได้ถ้าบริษัทกำไรลดลงจนกลายเป็นขาดทุนไปเลย
ส่วนหุ้น a นั้นแม้ว่าจะไม่ใช่การลงทุนที่ดีที่สุด แต่อย่างไรก็ใช้เวลาคืนทุนประมาณ 6 ปี ก็ไม่ถือว่าเป็นการลงทุนที่แย่เท่าไหร่ ถ้าเปลี่ยนโจทย์ให้สามารถลงทุนได้ 2 ตัว หุ้น a ก็น่าจะอยู่ในตัวเลือกด้วยได้
แต่ปัญหาอยู่ที่หุ้น d นี่แหละครับ จะว่าน่าซื้อหรือว่าไม่น่าซื้อตอบยากเหลือเกิน เพราะกำไรมันเอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง บางปีอาจจะขาดทุนมาก บางปีอาจจะพลิกมาเป็นกำไรมาก ในความเป็นจริงแล้วหุ้นที่อยู่ในตลาดมีหุ้นกลุ่มนี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ข้อแนะนำข้อแรก สำหรับการใช้วิธีวิเคราะหุ้นด้วย pe อย่างแรกคือ หลีกเลียงการใช้ pe กับหุ้นที่มี ธุรกิจ รายได้ หรือกำไรที่ผันผวน (จริงๆวิธีดัดแปลงนำไปใช้ก็พอมีอยู่ แต่ในเบื้องต้นยังไม่เอามาพูดดีกว่า เดี๋ยวจะพากันงงไปซะก่อน)
ตอนนี้เราพอจะเข้าใจแนวคิดคร่าวๆของการวัดมูลค่าหุ้นด้วย pe กันบ้างแล้ว ถ้าลองย้อนกลับไปอ่านที่ผมวิเคราะห์หุ้น ilink เอาไว้จะเห็นว่าผมกำหนด pe ที่เหมาะสมของหุ้น ilink เอาไว้ที่ 8 สมมติว่ากำไรที่จะเกิดในปี 49 นี้คิดเป็น e เท่ากับ 1.2 ต่อหุ้น ราคาเหมาะสมก็เอา 8 คูณกับ 1.2 ก็ได้ 9.6 บาท ดูแล้วง่ายเหลือเกิน แต่จริงๆแล้วกว่าที่จะกลายมาเป็น pe ที่ 8 กับ e (กำไรในอนาคต ณ สิ้นปี 49) ที่ 1.2 ก็มีที่มาที่จะเอามาคุยกันได้พอสมควร ติดตามตอนต่อไปครับ
####
การวัดราคาหุ้นด้วย P/E ratio 2
การใช้ pe ในการหาราคาเหมาะสมของหุ้น จะเห็นได้ว่า ตัวแปรที่มีความสำคัญมากๆคือ pe ที่เหมาะสม กับ e ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คราวนี้จะขอพูดเฉพาะ e ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกันก่อนนะครับ
e ในที่นี้คือกำไรต่อหุ้นที่จะเกิดขึ้น โดยปกติผม ถ้าอยู่ในช่วงต้นๆหรือกลางๆปี ผมก็จะคาดการณ์กำไรในอนาคตออกไปจนจบปี อย่างตอนนี้เดือน 8 เหลือเวลาอีก 4 เดือนที่บริษัทจะดำเนินงานจนครบปี ผมก็จะประมาณกำไรออกไปอีก 2 ไตรมาสก็จะได้เป็นกำไรของทั้งปี 49 ซึ่งจะประกาศผลออกมาในช่วงประมาณปลายเดือน กุมภาพันธ์ปี 50 เพราะฉะนั้น ราคาเป้าหมายของหุ้นที่คิดจาก e ตัวนี้จะเป็นเป้าหมายราคาในช่วง ปลายเดือน 2 ปีหน้า ด้วยเช่นเดียวกัน
เวลาส่วนใหญ่ในการวิเคราะห์หุ้นของผม คือการทำความเข้าใจกับธุรกิจให้เพียงพอที่จะสามารถประมาณกำไรให้ได้แม่นยำ ยิ่งแม่นเท่าไหร่โอกาสที่ผมจะถูกก็มีมากขึ้นเท่านั้น
ที่นี้คนส่วนใหญ่ก็คงจะงงว่ากำไรจะประมาณอย่างไร อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในตัวธุรกิจของหุ้นนั้นๆด้วย เราสามารถของย้อนไปดูอดีตของบริษัทว่ารายได้มีแนวโน้มเป็นอย่างไร ต้นทุนผันผวนรึเปล่า .. โดยปกติผมมักจะชอบลงทุนในหุ้นที่ผลงานไม่ค่อยผันผวนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการคาดการณ์อนาคตก็จะไม่ซับซ้อนมาก
สิ่งต่อมาที่ต้องดูคือ พยายามหาให้ได้ว่าบริษัทมีการตั้งเป้าการเติบโตอย่างไร ซึ่งหุ้นหลายตัวมักจะมีการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแนวโน้มของธุรกิจอยู่เรื่อยๆ เราก็สามารถนำตัวเลขเหล่านี้มาประมาณรายได้คร่าวๆได้ แต่จะให้ดีควรจะดู Track ย้อนหลังไปด้วยว่าในอดีตที่ผู้บริหารมีการคาดการณ์อนาคต ผลลัพธ์ที่ออกมาใกล้เคียงความจริงเท่าไหร่ เพราะผู้บริหารมีหลายประเภท พวกหนึ่งก็มักจะมองโลกในแง่ดี คือประมาณเกินความจริง อีกพวกก็อาจจะ conservative หน่อย คือประมาณไว้ต่ำกว่าความเป็นจริง อีกพวกก็อาจจะประมาณได้ใกล้เคียงความจริง หรือกลุ่มสุดท้ายคือไม่ค่อยซื่อเท่าไหร่ ออกมาให้ข่าวเพื่อสร้างราคา โดยไม่ได้มีความสัมพันธ์กับความจริงเลย
เราจำเป็นต้องนำปัจจัยเหล่านี้มาคำนึงในการประมาณรายได้ด้วย แต่ถ้าเป็นผู้บริหารกลุ่มสุดท้ายที่เชื่อถือไม่ค่อยได้ หลีกให้ห่างเลยดีกว่า ไม่ต้องไปเสียเวลาประมาณเพราะยังไงก็คงเดาไม่ถูก (ถ้าความมั่นใจในการประมาณน้อย ควรจะประมาณรายได้ให้ต่ำไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัย)
หลังจากประมาณรายได้แล้วต่อมาก็ประมาณกำไร โดยใช้ดูเอาจากอดีตว่ามีอัตราการทำกำไรเท่าไหร่ กำไรขั้นต้นเป็นอย่างไร ค่าใช้จ่ายขายและบริหารเป็นกี่ % ของรายได้ แล้วประมาณออกมาเป็นกำไร (ถ้าผู้บริหารมีการคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นมาให้ด้วย ก็สามารถเอามาใช้ได้ แต่อย่าลึมนะว่าเป็นผู้บริหารประเภทไหน)
เรื่องที่ควรคำนึงถึงในขั้นตอนนี้คือ ต้นทุน (วัตถุดิบ ค่าแรง การลงทุนในสินทรพย์ถาวร ที่จะเกิดมาเป็นค่าเสื่อมราคา ฯลฯ) มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญรึเปล่า ถ้าต้นทุนเพิ่มสูงมาก ก็ควรประมาณอัตรากำไรขั้นต้นให้ลดลงมากหน่อย ค่าใช้จ่ายขายและบริหารปกติจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้ารายได้เพิ่มขึ้น 10% ค่าขายและบริหารมักจะเพิ่มไม่ถึง 10% ถ้าไม่แน่ใจก็ประมาณให้ค่าใช้จ่ายสูงๆไว้ก่อนเป็นดี (อันนี้ขึ้นอยู่กับธุรกิจ ควรดูเปรียบเทียบจากงบการเงินในอดีตว่าค่าใช้จ่ายขายและบริหารมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเทียบกับรายได้)
หลังจากประมาณกำไรได้แล้วก็หารด้วยจำนวนหุ้น กลายเป็น eps จนจบปี แล้วก็เอามาคูณ pe ที่เหมาะสมของหุ้นนั้นๆ ก็จะได้ราคาเป้าหมายออกมาได้ไม่ยาก …. อย่าลืมที่ในขั้นตอนการประมาณถ้ามีจุดไหนที่ไม่มั่นใจให้ประมาณโดยกดให้กำไรต่ำไว้เสมอ
และที่สำคัญห้ามหลอกตัวเอง อย่ามองโลกในแง่ดีจนเกินเหตุเพราะจะทำให้เราคำนวณราคาเป้าหมายได้สูง โอกาสขาดทุนจะเยอะ ในขณะที่มองโลกในแง่ร้ายเกินเหตุอย่างน้อยก็ไม่ทำให้เราขาดทุน แค่อาจจะทำให้เสียโอกาสในการซื้อหุ้นราคาถูกเท่านั้นเอง (ยังไงเสียดายน้ำลายหก ก็ยังดีกว่าเสียใจน้ำตาตกอยู่ดี)
สำหรับผม ถ้าจะประมาณกำไรได้แม่นๆนั้น ส่วนใหญ่จะต้องมีโอกาสได้คุยกับผู้บริหารด้วย เพราะทำให้เราเข้าใจธุรกิจเค้ามากขึ้น
โดยปกติผมชอบยิงคำถามเหล่านี้ เช่น ตั้งเป้ารายได้โตกี่ % อัตรากำไรขั้นต้นจะรักษาระดับเดิมไว้ได้มั๊ย มีปัจจัยอะไรที่น่าเป็นห่วงสำหรับธุรกิจมั๊ย ฯลฯ ก็จะทำให้เราได้ข้อมูลในการประมาณกำไรได้พมสมควร นอกจากนี้การพูดคุยยังทำให้เราพอจะมองออกได้ว่านิสัยของผู้บริหารเป็นอย่างไร ขี้โม้หรือเปล่า ซื่อสัตย์รึเปล่า หรือว่า มีฝีมือรึ้เปล่า โอกาสที่จะได้คุยกับผู้บริหารก็อาจจะน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเลย ไว้จะมาเล่าอีกที่ครับ วันนี้เท่านี้ก่อนละกัน
####
การวัดราคาหุ้นด้วย P/E ratio 3
ในการเลือกซื้อหุ้นเราต้องเทียบระหว่างราคาที่เราจะจ่ายกับคุณภาพของหุ้น ยิ่งหุ้นมีคุณภาพสูง pe ที่เหมาะสมของหุ้นนั้นๆก็ควรจะสูงไปด้วยการประเมินคุณภาพของหุ้น ผมมองว่าเป็นศิลปะ ไม่มีสูตรตายตัวในการคิดออกมาเป็นตัวเลข เพราะคุณภาพนั้นมันวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ยาก ก็อาศัยใช้ประสบการณ์ฝึกดูไปเรื่อยๆก็พอจะได้ไอเดียว่าหุ้นประเภทไหนควรมี pe เท่าไหร่
โดยผมจะมี check list คร่าวๆในใจ เอาไว้ประเมินคุณภาพของหุ้นดังนี้
การเติบโตของรายได้ : แนวโน้มอุตสาหกรรม , ความสามารถของคู่แข่ง , ความสามารถในการเพิ่มยอดขายของบริษัท
ความสามารถในการควบคุมต้นทุน : อำนาจต่อรองเทียบกับ supplier , ความสามารถในการผลักภาระไปให้ลูกค้า
ความผันผวนของรายได้และกำไร : ยิ่งผันผวนมาก ผมมองว่าคุณภาพจะค่อนข้างต่ำ
ผู้บริหาร : ความซื่อสัตย์ , ความขยัน , ความเก่ง (ต้องระวังผู้บริหารที่ขี้โม้เก่งนิดนึง เพราะเราอาจจะคิดว่าฝีมือดีทั้งที่จริงๆแล้วอาจจะไม่ได้เรื่องเลยก็ได้)
โครงสร้างการเงินของบริษัท : หนี้สินเทียบกับส่วนทุน , หนี้สินเทียบกับกำไร , เงินสดที่เหลืออยู่หักด้วยหนี้สิน
ฯลฯ
จากปัจจัยต่างๆข้างต้นที่เป็นตัววัดคุณภาพ ลองพยายามประเมินออกมาให้ได้ว่าหุ้นที่เราวิเคราะห์นั้นอยู่ในกลุ่มไหน แล้วลองเอามาเทียบกับหุ้น 5 กลุ่มข้างล่างที่ผมเขียนเอาไว้
หุ้นที่มีคุณภาพแย่ (หุ้นเกรด F) กิจการที่ขาดทุน หนี้สินเยอะๆ หรือกำไรเอาแน่เอานอนไม่ได้ ปีนึงกำไร ปีนึงขาดทุน หรือพวกที่ผู้บริหารไว้ใจไม่ได้ พวกนี้ไม่ต้องประเมิน pe หรอกครับอย่าไปซื้อมันเลยดีกว่า
หุ้นที่มีคุณภาพกลางๆ (หุ้นเกรด C) หนี้สินกลางๆ รายได้และกำไรไม่ค่อยเติบโต หรือเติบโตช้าไม่เกิน 5% ต่อปี pe ควรจะอยู่แถวๆ 5-6
หุ้นคุณภาพดีพอใช้ (หุ้นเกรด B) หนี้ไม่มาก รายได้ไม่ผันผวนโตอย่างสม่ำเสมอ กำไรในอนาคตเติบโตระดับ 5-15% ต่อปี pe น่าจะประมาณ 6-9
หุ้นคุณภาพดี (เกรด A) หนี้น้อย หรือไม่มีเลย รายได้โตอย่างต่อเนื่อง กำไรในอนาคตคาดว่าจะโตในระดับ 15% ขึ้นไป pe เหมาะสมประมาณ 9-12
หุ้นสุดยอด (Super stock) หนี้น้อยหรือไม่มี รายได้มั่นคงมากและโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอ กำไรโตขึ้นในระดับ 20-30% ผู้บริหารเก่ง ขยัน ซื่อสัตย์ แนวโน้มธุรกิจดี มีอำนาจในการต่อรองต่อ supplier สูง อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่แข่งขันกันเรื่องราคาเป็นหลัก สามารถผลักภาระให้ลูกค้าได้ ฯลฯ พวกหุ้นชั้นยอดพวกนี้ pe ตั้งแต่ 12 ขึ้นไปจนถึง 20
ตัวเลขที่แสดงเป็นเพียงแค่ Guideline คร่าวๆเท่านั้นนะครับ อย่าไปคิดว่าเป็นสูตรตายตัวอะไร ที่แบ่งออกมาเป็นกลุ่มแบบนี้ผมว่าเข้าใจง่ายดี อ่าน Blog วันนี้แล้วจำเกรดของหุ้นไว้ด้วยก็ดีนะครับ เผื่อในอนาคตผมอาจจะยกเกรดเหล่านี้มาใช้ในสื่อสารให้เข้าใจได้ตรงกัน
ปล.ตามการประเมินมูลค่าหุ้นด้วย pe ก็ยังมีข้อจำกัด และข้อควรระวังหลายประการ ซึ่งจะเอามาพูดกันต่อในคราวหน้านะครับ
####
ข้อจำกัดของการใช้ pe
ที่บอกไปวันก่อนนะครับว่าการใช้ pe ประเมินราคาหุ้นยังมีข้อจำกัดอยู่บางกรณี ผมจะขอยกตัวอย่างให้ดูกันนะครับ
มีอยู่ช่วงนึงที่หุ้นกลุ่มเดือนเรือวิ่งขึ้นกันกระจาย ตอนนั้นเองผมก็เล่นไปกับเค้าด้วย แต่ตอนนั้นยอมรับครับว่าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ อาศัยเล่นตามๆเค้าไป เห็นเค้าบอกว่าค่าระวางเรืออยู่ในช่วงขาขึ้น psl หุ้นเรือเทกอง วิ่งจากประมาณ 6 (ปรับการแตกหุ้นแล้ว) ไปถึง 50 กว่าบาท หุ้น tta วึ่งจาก 10 บาทไป 40 บาท ตอนนั้นผลประกอบการของกลุ่มเรือออกมาดีจนน่าใจหาย กำไรพุ่งพรวดเป็นประวัติการณ์ แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปพักนึง ค่าระวางเรือเริ่มไหลจากจุดสูงสุดลงมาเรื่อยๆ ราคาของหุ้นเดินเรือก็ไหลลงตามเช่นเดียวกัน psl ไหลจาก 50 ลงมา เหลือ 30 กว่าๆ (ผมขายไปแถว 35-38 บาท) tta ก็ไหลลงมาเหลือ 20 กว่าๆ เพราะคนส่วนใหญ่มองว่าอนาคตของกลุ่มเดินเรือจะไม่หรูหราเหมือนงบที่ประกาศออกมาอีกแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเดินเรือข้างต้น ก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดในตลาดหุ้นที่ธุรกิจก็มีขึ้นมีลง ราคาหุ้นก็มีขึ้นมีลง เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่คนเล่นหุ้นอย่างเราต้องยอมรับกันแต่มีเรื่องที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เราสามารถใช้ pe ในการวิเคราะห์หุ้นเรือได้รึเปล่า?
เนื่องจากค่าระวางเรือที่เพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงนั้นทำให้ผลประกอบการที่ผ่านมาของกลุ่มเรือสูงมาก การใช้ pe ที่คำนวณจากผลประกอบการในอดีต (ที่เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์) จะทำให้หุ้นกลุ่มนี้มี pe ต่ำมากๆ บางตัวอาจจะมี pe เพียงแค่ 3-4 เท่านั้น แต่หุ้นเรือนี้ราคาถูกจริงรึเปล่า? ผมว่าเนื่องจากความเป็นวัฏจักรของธุรกิจเดินเรือที่จะมีช่วงที่ ค่าระวางเพิ่มขึ้นสูงจนกำไรดีมาก และช่วงที่ค่าระวางลดลงจนถึงกับทำให้บริษัทเหล่านี้ขาดทุนได้ง่ายๆ ถ้าค่าระวางเรือเป็นขาลง ผลกำไรของกลุ่มจะลดลง จนทำให้ e ที่ใช้คำนวณนั้นลดลง ถ้าหุ้นราคาไม่ลง pe ก็จะทำให้ pe นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากหุ้นก็จะมีถูกอีกต่อไป ใครซื้อเข้าไปตอน pe ต่ำๆก็อาจจะขาดทุนได้ง่ายๆเหมือนกัน
โดยสรุปแล้วจะเห็นว่าหุ้นที่เป็นวัฏจักรรายได้มีช่วงขาขึ้นและขาลง การใช้ pe ประเมินราคาไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมนัก เพราะหุ้นที่ดูเหมือนราคาถูกอาจจะกลายที่ราคาแพงขึ้นมาได้ทันทีที่ผลกำไรของบริษัทลดลงตามวัฏจักร
ปล. ผมไม่ได้บอกว่าหุ้นเรือไม่ดีนะครับ เพราะที่ผ่านมาหุ้นก็วิ่งขึ้นลงตามดัชนีค่าระวางเรือที่ผันผวนมาตลอด การจะทำกำไรจากหุ้นเรือได้คงต้องเข้าใจธุรกิจนี้เป็นอย่างมากพอที่บอกได้ว่าค่าระวางเรือจะเป็นอย่างไหรในอนาคต (ซึงยากเอามากๆ) อย่าลืมนะครับ สำหรับหุ้นที่เป็นวัฏจักร (พวกเรือ เคมี ปิโตรเลียม ฯลฯ) อย่าเผลอไปใช้ pe ในการประเมินราคา ไม่งั้นเดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน
การวัดราคาหุ้นด้วย P/E ratio
Yoyo’s Value Investing Way
โดย สันติ สิงหวังชา

ครบเครื่องเรื่อง PE จาก Analyzing Companies and Valuing Shares

ครบเครื่องเรื่อง PE จาก Analyzing Companies and Valuing Shares


PE
เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดและมีประโยชน์ในการคิดหามูลค่าหุ้น ( valuation )
วิธีคำนวณ ก็ เอาราคาหุ้น (price) หารด้วย กำไรต่อหุ้น(earning per share) ค่าที่ได้ก็จะออกมาว่าเป็นจำนวนกี่เท่าซึ่งค่านี้บอกว่าต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะคุ้มทุน
กำไรต่อหุ้น คำนวณจาก กำไรหลังหักภาษี หารด้วย จำนวนหุ้น
แม้ว่าค่านี้จะอาศัยข้อมูลในอดีตมาคิด แต่ PE ก็สามารถใช้ forecast EPS มาคิดได้ ซึงก็มีประโยชน์อย่างมากในการคำนวณ valuation
เวลาดู PE ต้องดู 2 อย่างควบคู่กันไป
1. growth of earning
2. quality of earning
การที่ดูอะไรอย่างเดียว อาจทำให้คำนวณผิดได้ ต้องดูด้วยว่า growth ที่ได้มา มาจากอะไร ไม่ได้มาจากกำไรพิเศษ ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
ปกติ PE ต่ำๆ จะน่าสนใจกว่า PE สูงๆ แต่ก็ไม่เสมอไป มีหลายสถานะการณ์ที่ PE ต่ำๆ แต่ไม่ได้หมายความว่า หุ้นน่าสนใจหรือหุ้นถูก
สถานะการณ์ที่ทำให้ PE ต่ำ แต่ไม่น่าสนใจ เช่น
1. uncertainly over a company's prospects for earning
2. a highly cyclical sector
3. company serving volatile markets
4. a sector with overcapacity and weak pricing power
5. a sector or company with consistently low returns and not adding economic value
6. a mature sector, with little prospect of growth
7. a company which is ex growth
8. poor management
9. poor cash generation
9. week balance sheet
ในทางกลับกัน หุ้นที่มี PE สูง ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นมีราคาแพงเสมอไป
สถานการณ์ที่ทำให้ PE สูง แต่ไมได้หมายความว่าหุ้นแพง
1. companies with an excellent growth record and prospects for growth
2. a high-growth sector
3. high confidence in the company's forecasts
4. predictable/stable revenues
5. strong market shares
6. high barriers to entry
7. companies that have strong pricing power
8. companies that have high margins and produce excellent ROCE and add value
9. strong cash generation
Re-ratings and de-ratings
เมื่อคุณหาหุ้นที่มี PE ต่ำๆได้ ถ้าบริษัทนี้ดูแล้วน่าจะดีกว่า rating ที่มีอยู่ตอนนี้ คุณก็อาจจะปรับ rating ใหม่ขึ้นไปได้เรียกว่า re-ratings เช่นบริษัทตอนนี้มี PE อยู่ เท่ากับ 8 แต่คุณคิดว่าบริษัทนี้ PE น่าจะอยู่ ที่ 10 ก็แสดงว่าราคาหุ้นยังสามารถ upside ได้อีก 25%
แต่คุณก็ต้องมั่นใจในการประเมินของคุณนะครับ
ปัจจัยที่กระตุ้นทำให้เกิด re-ratings ก็คือผลการดำเนินงานเป็นไปตามที่คาดหวังหรือมากกว่าที่คาดหวัง
เช่นเดียวกัน de-ratings ก็คือการปรับ rating ให้ต่ำลงมาเนื่องจากคิดว่า PE ของบริษัทน่าจะต่ำกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
ข้อดีข้อเสียของ การใช้ PE
ข้อดี ของการใช้ PE
1. ง่ายต่อการคำนวณ
2. ใช้กันอย่างแพร่หลาย
3. สามารถใช้ forecast มาคำนวณได้
4. earning เป็นค่าที่วัดในส่วนของผู้ถือหุ้น
ข้อเสียหรือข้อควรระวัง ของการใช้ PE
1. ไม่ได้นำ หนี้มาคำนวณ
2. gearing up/ หรือการซื้อหุ้นคืน ทำให้ earning สูง ทำให้ ตกแต่งค่า PE ได้
3. การนำมาเปรียบเทียบต้องระวัง นโยบายทางบัญชีของบริษัทหรือประเทศที่ต่างกัน
4. ไม่สามารถนำมาใช้ในพวก loss-making early-stage growth หรือ cyclical business
5. ไม่ได้นำ cash generation มาคำนวณ
6. ไมได้นำ investment returns มาคำนวณ
PE relative
คือนำค่า PE ของบริษัทมาเที่ยบกับ PE ของตลาด
เช่น PE ตลาดเท่ากับ 20 PE บริษัทเท่ากับ 15 ก็แสดงว่ามี relative = 75%
แต่ถ้า PE บริษัท เท่ากับ 30 แสดงว่ามี relative = 150%
บริษัทที่มี relative มากกว่า 100 มักจะเป็นบริษัทที่ถูกคิดว่าน่าจะมี growth และ quality ที่ดีกว่า ตลาดโดยรวม
ข้อดีข้อเสีย ของ PE relative ก็เหมือนกับ PE
ขอบคุณครับเป็นข้อมูลที่ให้ความรู้ดีมากและเป็นประโยชน์มากครับ ผมเลยของอนุญาตขยายความต่อจากเนื้อหานะครับ
สถานะการณ์ที่ทำให้ PE ต่ำ แต่ไม่น่าสนใจ เช่น
1. uncertainly over a company's prospects for earning
อย่างจะเห็นได้ว่าช่วงนี้หุ้น bank หรือ finance จะมี P/E ต่ำเพราะมีความไม่แน่นอนเรื่องแผนแม่บทและการควบรวมกิจการ รวมถึงปัญหา NPL ที่อาจจะต้องทำให้บางธนาคารต้องตั้งสำรองเพิ่ม
หรือหุ้นประเภทที่ต้องขึ้นกับโชคชะตา ดินฟ้าอากาศ โรคระบาด เช่นหุ้นกลุ่มเกษตรก็เข้าข่ายครับ
2. a highly cyclical sector
อย่างกลุ่มปิโตรเคมีหรือ cyclical อื่นๆ ก็ไม่ควรจะได้ P/E ที่สูงครับ
3. company serving volatile markets
อาจจะเป็นกลุ่มอิเลคทรอนิกส์และหุ้นส่งออกครับ
4. a sector with overcapacity and weak pricing power
ช่วงนี้ตลาดเมืองไทยไม่ค่อยมีภาวะ oversupply เท่าไหร่แล้ว แต่หุ้นประเภทรับจ้างผลิตก็มักจะมี pricing power ต่ำครับ เช่น อิเลคทรอนิกส์ หรือหุ้นที่มีหน้าตาสินค้าเหมือนๆ กันหมด เช่น พวกหุ้น commodity ทั้งหลาย
5. a sector or company with consistently low returns and not adding economic value
economic value added จะเกิดขึ้นเมื่อ roe มากกว่า cost of equity หรือ roce สูงกว่า cost of capital ( WACC ) ดังนั้น sector ไหนที่ roe ต่ำทั้ง sector ก็จะเข้าข่ายนี้ครับ หากให้ cost of equity ตอนนี้ซัก 10-12% หากหุ้นตัวไหน roe ต่ำกว่านี้ติดต่อกันนานๆ ก็เข้าข่ายครับ หุ้นหลายตัวที่ bv สูงเพราะเก็บเงินสดไว้เยอะๆ ไม่ปันผลมักจะมี roe ต่ำครับ
6. a mature sector, with little prospect of growth
ก็น่าจะเป็นสิ่งทอนะครับ
7. a company which is ex growth
อันนีไม่แน่ใจว่า ex ย่อจากอะไรนะครับ
8. poor management
ก็มีอยู่ให้เห็นเยอะครับอันนี้คงต้องอาศัยประสบการณ์ในการลงทุนไปเรื่อยๆ ครับ ประเภทที่กู้เงินธนาคารหรือเอาเงินที่ควรจะจ่ายปันผลออกไปมาให้บริษํทในเครือกู้อันนี้ก็ชัดเจนครับ หรือประเภทชอบลงทุนในธุรกิจที่ตนเองไม่ถนัดหรือ diworsification ครับ
9. poor cash generation
อันนี้คงโทษผู้บริหารไม่ได้ทั้งหมดบางที่เป็นธรรมชาติธุรกิจ หุ้นประเภทนี้ก็มักจะ p/E ต่ำครับ เช่น หุ้นประเภทที่ a/r ( account receivable ) day สูงกว่า a/p ( account payable ) day มากๆ หรืออธิบายง่ายๆ คือ ต้องจ่ายเงินค่าวัตถุดิบไปเร็วกว่าที่จะเก็บเงินได้ครับ หุ้นพวกนี้เวลาจะเพิ่มยอดขายทีจะต้องใช้ working capital สูงมากครับ
9. week balance sheet
ก็เป็นหุ้นที่หนี้มากครับ และอาจจะมีการวางแผนทางการเงินไม่เหมาะสมทำให้เสี่ยงกับการขาดสภาพคล่องทางการเงินครับ
ในทางกลับกัน หุ้นที่มี PE สูง ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นมีราคาแพงเสมอไป
สถานการณ์ที่ทำให้ PE สูง แต่ไมได้หมายความว่าหุ้นแพง
1. companies with an excellent growth record and prospects for growth
2. a high-growth sector
3. high confidence in the company's forecasts
ก็เป็นหุ้นที่ขายสินค้าที่ทุกคนต้องใช้และต้องกลับมาซื้อใหม่เรื่อยๆ ทำให้ความผันผวนของกำไรต่ำครับ อย่างหุ้นส่งออกจะไม่เข้าข่ายนี้แน่นอนครับเพราะว่านักลงทุนอย่างเราคาดการณ์อะไรยากเพราะเราไม่มีโอกาสเห็นการผลิตและ order ของเค้าครับ
4. predictable/stable revenues
5. strong market shares
ก็มักจะเป็นหุ้น blue chip หลายตัวที่มี mkt share อันดับ 1,2 แต่หุ้น small cap หลายตัวก็มี mkt share อันดับ 1 ใน segment หรือ industry ของตัวเองได้ครับ
6. high barriers to entry
อย่างหุ้นบันเทิงหลายตัวก็เข้าข่าย เช่น bec major เพราะการเข้ามาทำได้ยาก หุ้นมือถือก็น่าจะใช่ครับเพราะหากจะมีใครเข้ามาใหม่ต้องลงทุนสูงถึง 40,000-50,000 ล้าน หุ้นพลังงานหลายตัวก็ใช่เพราะคงไม่มีใครมาแข่งกับ ptt ในธุรกิจท่อก๊าซได้
7. companies that have strong pricing power
เมืองไทยไม่ค่อยมีหุ้นที่เป็น monopoly โดยธรรมชาติธุรกิจครับ นึกไม่ค่อยออกเหมือนกันครับ ถ้าเอากิจการนอกตลาดที่นึกออกน่าจะเป็นพวกร้านอาหารญี่ปุ่น fuji มั้งครับ บางอย่างต้นทุนก็ไม่น่าแพงแต่ก็ขายแพงจังแต่เราก็ยอมกิน อ้อ cpn หรือ mbk-pd ก็อาจจะมองว่ามี pricing power ค่อนข้างสูงได้ครับเพราะทำเลที่ตั้งดีและห้างดีๆ ก้มีไม่มากครับ หรือ LH ก็อาจจะมี pricing power บ้างเพราะสามารถขายบ้านได้แพงกว่าชาวบ้านทั้งๆ ที่ทำเลเดียวกันและเนื่อที่เท่ากัน
8. companies that have high margins and produce excellent ROCE and add value
มีหลายตัวครับ ก็ได้แก่หุ้นที่ roe สูงทั้งหลาย อันนี้หมายถึงจะต้องมี roe สูงเฉลี่ยติดกันหลายๆ ปีนะครับ เพราะหุ้น cyclical จะมี roe สูงตอนที่ cycle ดีและจะขาดทุนตอน cycle แย่ หากดู roe ปีเดียวจะได้หุ้น cyclical เข้ามา
9. strong cash generation
ก็ตรงข้ามกับเมื่อกี้ หุ้นพวกนี้คือหุ้นที่ขายเป็นเงินสดและซื้อสินค้าเป็น credit term ข้อดีคือยิ่งยอดขายเพิ่ม cash flow ยิ่งเพิ่มคือ ไม่ใช้ working capital เลย หุ้นประเภทนี้ได้แก่หุ้นค้าปลีก อย่าง makro bigc se-ed hmpro 7-11 และหุ้นบางตัวที่มีลูกค้าเป็นคนทั่วๆ ไปอย่างเราๆ และต้องจ่ายเงินสดทันที่ที่ซื้อสินค้าหรือบริการ เช่น major egv ครับ
Cr.ไลน์

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สูตรแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย สำหรับนักลงทุนมือใหม่

พอรท์เล็กๆ ควรเน้นลงทุนแบบโฟกัส  1-2ตัว ตามนี้
ลงทุนในหุ้น 3กลุ่ม  
1.คอมโมดิตี้
2.หุ้นเติบโต หรือ Growth stock
3.Turn around stock  หรือหุ้นเทินอะราวด์

ตามหลัก กำไรทบต้น หรือ compounding  ถ้าคุณทำผลตอบแทนได้ครั้งละ 30เปอเซ็นต์ ทบต้น3ครั้ง พอรท์จะขยายตัวได้ 1เท่าของเงินต้น

ดังนั้นถ้าใน1ปี คุณเลือกหุ้นและทำกำไรได้ 30เปอเซ็นต์ 3ตัวต่อปี  คุณจะมีความมั่งคั่งแบบทบต้น กล่าวคือ ปีแรกจะได้ 1เด้ง และปีต่อๆมาเงินจะเพิ่มแบบก้าวกระโดด

วิธีการมองหาหุ้น ในปัจจุบัน  แบ่งเป็น

1.ชาวสวน  หรือ contarian  มักลงทุนในกิจการที่ราคาลดลงมามาก  บางครั้งแนวทางนี้ก้นำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น
หุ้นที่พื้นฐานเปลี่ยน หุ้นที่ตกเทรนด์ ตะวันตกดิน  ถ้าซื้อแบบชาวสวน ติดดอยหมด
ชาวสวนจะใช้ประโยชนได้ใน  หุ้นที่กระทบครั้งเดียว หรือ หุ้นที่กิจการดีแต่มีผลกระทบที่เกิดครั้งเดียว one time

2.ชาวไล่  หรือ momentum trader มักเห็นราคาตัวไหนขึ้นแรงๆ แล้วกระโดดเกาะรถขึ้นไป โดยไม่ดูปัจจุยพื้นฐาน หรือกราฟ  ชาวไล่จะพลาดตรง ชาวไล่ไม่สนว่า ราคาขึ้นมาจากไหน ถ้าราคาวิ่งตามทันที จึงมีโอกาศติดดอยมาก
วิธีที่ลงทุนได้ผลสำหรับชาวไล่  คือ ต้องลงทุนในช่วงราคากำลังขึ้นแรกๆ ตามหลักโมเมนตัม แล้ว ราคาที่ขึ้นไปย่อมสะท้อนผลประกอบการในอนาคต


3.ชาวประมง หรือ value investor  ชาวประมงจะเน้นมองที่พื้นฐานกิจการ มองอนาคตของกิจการ ก้เหมือนกับชาวประมงที่ ต้องออกเรือไปพร้อมเครื่องโซน่าร์ ดูว่าตรงไหนมีปลา แล้วก้จะได้ปลา มีความเชี่ยวชาญในการมองปลาว่า ปลาเล็กหรือปลาใหญ่   ตรงไหนน้ำลึก ตรงไหนน้ำตื้นความเชี่ยวชาญในการมองว่า มีพายุหรือเปล่า  ควรเข้าฝั่งตอนไหนชาวประมงที่เชี่ยวชาญมาก จะต้องเป็นไต๋เรือ เกิน10ปีขึ้นไปสั่งสมประสบกาม จากหลายๆที่  เคยผ่านทั้งการโจมตีจากพายุ และโจรสลัดมาแล้วผ่านวิกฤติร้ายๆมาได้ อย่างน้อย 3ครั้งขึ้นไป  จึงจะเป็นไต๋เรือที่เก่ง

4.โจรสลัด หรือ  speculator  จะเป็นกลุ่มนักลงทุนสายเทคนิค  ที่มองการเข้าออกด้วยกราฟล้วนๆไม่มีปัจจัยพื้นฐาน  โจรสลัดจะมองหาเหยื่อที่น่าจะสร้างกำไรให้ได้ หลังจากนั้นก้จะปล้นหุ้นแล้ว เกาะตามเจ้าของไป พอเจ้าของหมดมือ โจรสลัดก้ทิ้งหุ้นตามเจ้าของทันที

วิธีการนี้เป็นอีกวิธี ที่ได้รับความสำเร็จ  เพราะ โจรสลัดจะไม่รอตี4 แบบชาวประมง แต่จะเกาะไปตอน6โมงเช้า รถออกพอดี แล้วนั่งรถไปกับชาวประมง ประหนึ่ง  พวกเดียวกัน ไปไหนไปกัน ฉันรักเธอ  ถ้าน้ำแตกฉันก้แยกทาง


ปัญญหาคือจะรู้ได้ไง หุ้นตัวไหนมันจะ Turn around
       เราก้ต้องมองให้ออกก่อนว่า เป็นหุ้นประเภทไหนครับ   เหมือนเอากระเทยมานั่งกับผู้หญิง  เราจะดูยังไงว่าคนไหน ญแท้ คนไหนญเทียมเป็นคุณจะทำยังไงครับ  จะแยกยังไงถึงจะรู้ว่าคนไหน ญแท้ ญเทียม แก้ผ้าไหม หรือดูบัตรประชาชน 
      ตามหลักของปีเตอร์ ลินซ์  ถ้าคุณมีหุ้นตัวนึงแล้วคุณบอกไม่ได้ว่าเป็นหุ้นประเภทไหน แปลว่า คุณยังไม่สามารถแยกออกระหว่า งกระเทยกับผู้หญิง ดอกไม้กับวัชพืช  หุ้นโตช้าหรือหุ้นโตเร็ว  หุ้นเทินอะราวด์  หุ้นคอมโมดิตี้
      เหมือนคุณถามว่า อยากซ่อมรถเป็น  แต่คุณไม่รู้ว่า  รถประกอบด้วยอะไรบ้าง เสียตรงไหนบ้าง แต่ละอันซ่อมยังไง ถ้าแบตหมด ก้เปลี่ยนแบต   ถ้าสายพานขาดก้เปลี่ยนสายพาน  ถ้ายางแตกก้ต้องปะยาง

รู้ได้ไงว่าเทินอะราวด์  งั้นมาเริ่มกันเลย

เทิน คือ เลี้ยว   //////อะราวด์ แปลว่า  รอบๆ

เทินอะราวด์คือ หุ้นที่เคลื่อนไหวเป็นวงกลม  นิยามนี้ถูกต้องแล้ว  ตามวัฎจักรของกิจการเริ่มจาก
1.เริ่มก่อสร้าง  

2.ดีและเติบโต  
3.หยุดเติบโต  
4.เสื่อมถอย เหมือน วัฎจักรของมนุษย์
       ยกตัวอย่าง ผมขายลูกชิ้น แล้วเจ๊ง แล้วเปลี่ยนมาขาย ก๋วยเตี๋ยวแล้ว รวยขึ้น มานี่ก้เทินอะราวด์
คารมารท์ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าไดสตาร์ไม่รุ่ง มาขายเครื่องสำอางรุ่งก้เทินอะราวด์
เอม เปลี่ยนธุรกิจมาทำ เครื่องมือแพทย์นี่ก้เทินอะราวด์
แต่กิจการประเภท เทินอะราวด์นั้น  มีแค่ ร้อยละ10 ที่กลับมาได้ แบบที่ วอเรนท์บัฟเฟตได้พูดไว้เกี่ยวกับหุ้นเทินอะราวด์ว่า  turnaround seldom turn  คือ ไอ้คนทำกิจการเจ๊ง เด๋วเปิดกิจการใหม่มันก้เจ๊งอีก turn around pattern 

1.V shape กิจการแย่ แต่กลับมาได้รวดเร็ว  เจ๊งชั่วคราวไม่ค้างคืน
2.U shape กิจการแย่ กว่าจะฟื้นก้นานหน่อยแต่ฟื้นจริง
3.L shape กิจการแย่ แล้วโอกาศพื้นยังไม่เห็น
4.W shape ดีๆแย่ๆ ปะปนกันไป เหมือนจะไม่ฟื้นแต่ก้ฟื้น  เหมือนฟื้นแต่ก้ไม่ฟื้นการเลือกหุ้นที่มองว่าจะเทินอะราวด์มองจากอะไร


1.กิจการต้องขายธุรกิจเก่าออกไปก่อน  เพราะธุรกิจเดิมขาดทุนทำไปก้ไม่รุ่ง 
2.ล้างขาดทุนสะสม เสียก่อน  โดยลดพาร์  เพิ่มทุน แล้วเอาทุนใหม่ไปลงทุนตามข้อ3
3.ลงทุนธุรกิจใหม่  ถ้าเห็นแล้วว่า ธุรกิจนั้นทำกำไรได้แน่นอน รายได้มั่นคง นั่นคือ เทินอะราวด์เต่าหมุน
โดยจะมี แฟคเตอร์อ้างอิงดังนี้
      ธุรกิจที่ขายธุรกิจเก่าออกไป ผู้บริหารซื้อหุ้นครั้งละมากๆ มากกว่าที่ถืออยู่เดิม  มีการล้างขาดทุนสะสม  และเปลี่ยนแผนธุรกิจใหม่คือ หุ้นเทินอะราวด์ครับ 
แยกให้ออกครับ ปีเตอร์ลินซ์ บอกแล้ว  คุณจะมาลงทุนในหุ้นคุณต้องแยกให้ออก กระเทยกับญแท้ ดอกไม้กับวัชพืช  

1.หุ้นเติบโตช้า โตหลักเดียว
2.หุ้นเติบโตเร็ว โตสองหลัก
3.หุ้นเทินอะราวด์  เปลี่ยนธุรกิจแล้วกลับมากำไร
4.หุ้นคอมโมดิตี้  คือ หุ้นโภคภํณฑ์  แบ่งเป็น  
hard commodity  อะไรแข็งๆ ใช่หมด ทองคำเงิน ทองแดง สังกะสี เหล็ก  
soft  commodity  อะไรไม่แข็ง ใช่หมด  ข้าว อ้อย น้ำตาล มันสำประหลัง
cyclical  อะไรมีรอบใช่หมด  เรือ ฟิลม์  
economic  stock cycle   เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ถ้าดีมันมาแน่  กลุ่มยานยนต์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์
5.หุ้นแข็งแกร่ง  บริษัทที่แข็งแกร่ง มีมูลค่ากิจการมากกว่า1000ล้าน ขายสินค้าที่ต้องกินใช้  เช่นค้าปลีก
6.หุ้นมหาสมบัติ  คือ หุ้นที่กิจการมี ทรัพย์เจ้าคุณปู่มาก ทรัพย์สินมากกว่าราคาหุ้น เช่น MBK CSR  CPI
ต่อนะครับ หุ้นเติบโต

    หุ้นเติบโต คืออะไร   หุ้นก้คือหุ้น เติบโตก้แปลว่า โต  การโตก้เหมือนคนเรา ตั้งแต่เด็กแขนขาก้เล็กตัวก้เล็ก นมก้เล็ก  พอโตขึ้นเป็นวัยรุ่นนมก้เริ่มแตก ตัวก้เริ่มโต  พอเริ่มเป็นวัยทำงานก้โตเต็มวัย  พอแก่ก้เริ่มหยุดโต แล้วก้ตาย สาธุ

แบ่งออกเป็น 3ประเภท

1.หุ้นโตช้า  slow  growth  อัตราโตแค่หลักเดียว  โตเรื่อยๆ ไม่รีบ โตเต่าคลาน
2.หุ้นโตเร็ว   fast growth อัตราการเติบโต2หลัก โตเร็วเหมือน เร่งยา  ส่วนมากเป็นอุตสาหกรรมที่เพิ่งเกิดใหม่ๆและประสบวามสำเร็จ เช่นเฟตบุ๊ค
3.หุ้นไม่โต หรือ zero growth  กิจการมีแค่นั้น  ไม่คิดขยายเพิ่ม รายได้เสมอตัวตลอด ลูกค้ากลุ่มเดิมๆ มักอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นแม่วัว  cash cow
ดูยังไงว่ามันโต โต มีแบบไหนบ้าง

โตไม่ต้องไปคิดมาก ท่องไว้  รายได้มากขึ้น  กำไรมากขึ้น ปันผลมากขึ้น  แสดงว่าโต  ถ้าโตต่ำกว่า2หลัก ถือว่าโตช้า  ถ้าโต2หลักแปลว่าโตเร็ว

ดูว่ากิจการนั้น ทำอะไร แล้วยังเป็นที่ต้องการอีกหรือไม่  
      ผมจะขออนุญาติลงรูปเอาไว้ ให้พิจารณา ในการหาหุ้นโกรท  หรือหุ้นเติบโต  มักเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นดาว  หรือสตาร์

คือ ส่วนแบ่งการตลาดจะต้องมาก และการเติบโตจะมาก  ถือว่าเป็นหุ้นโกรท หรือ ดาวเด่น

ถ้าส่วนแบ่งการตลาดมาก แต่อุตสาหกรรมไม่โต ก้จะเป็นหุ้นที่ รายได้ค่อนข้างแน่นอน อย่างธุรกิจ สนามกลอฟ์ ธุรกิจตะวันตกดิน

จะเป็นพวกปันผลเด่นหรือ แคชคาว หุ้นห่านทองคำ หุ้นวัวที่ให้น้ำนม

-โต  โตจากอะไร  แล้วมองไงว่าโตยั่งยืน

การเติบโต ควรเป็นการเติบโตแบบสูง  คือ รายได้จากการดำเนินงานโตขึ้น ทุกปี ไม่ใช่กำไรพิเศษหรือกำไรอื่นๆ  ถ้าเป็นการโตแบบ

มีกำไรพิเศษเช่น ขายบริษัท หรือ ได้เงินชดเชย  แบบนี้ ถือว่า  โตแบบอ้วน  คือ พอไม่มีเงินชดเชยหรือรายได้นั้นแล้ว  บริษัทกำไรลดลง

การที่จะโตยั่งยืนได้  คือ การที่ สินค้าและบริการนั้น  ต้องใช้ต่อไปมากขึ้นๆ  โดยใช้ซ้ำๆ จึงจะมีโอกาศกลับมาใช้ใหม่ได้

เช่น ซีพีออล 7/11 ตอนสมัย10ปีก่อน มีกี่สาขา พอตอนนี้กี่สาขา สาขาที่เปิดมากขึ้น  ทำให้รายได้มากขึ้น  กำไรมากขึ้น  มีอำนาจต่อรอง

มากขึ้น 

-หาหุ้นยังไง ให้เจอหุ้นโกรท 

แนะนำว่า ถ้าเป็นสินค้าและบริการ  คุณต้องออกไปสัมผัส  เมื่อคุณเห็นอะไรขายดีมุงกันมากๆ คุณไปดูเลยกิจการชื่ออะไร มีกี่สาขาแล้ว

แล้วคู่แข่งเค้ามีมากหรือน้อย ราคาสินค้า คุณภาพสินค้าสมเหตุผลไหม  ราคาหุ้นในตลาดเป็นยังไง ถูกหรือแพง

การขยายสาขาในอนาคต การออกต่างประเทศ  การเพิ่มไลน์สินค้า  หรือ ความซื่อสัตย์ต่อสินค้าเป็นยังไง  สินค้ามีอะไรใหม่ๆตลอดไหม

การบริการเป็นยังไง  แล้ว ภาพลักษณ์ในสายตาผู้ใช้เป็นยังไง

ผมว่าหุ้นโกรทเป็นหุ้นที่ดูง่าย  มันมากับกลุ่มเทรนด์อุตสาหกรรม ตลอด และมักจะตามเพื่อนบ้านที่เจริญแล้ว เช่น อุตสาหกรรมค้าปลีก

อุตสาหกรรมโรงพยาบาล  ที่เข้ากับเทรนด์  รายได้มากขึ้นและการเจริญขึ้นของประเทศและการมีผู้สูงอายุมากขึ้น

หรือไม่ก้มักเป็นหุ้นที่อยู่รอบๆตัวเรา  ที่เรากิน เราใช้สินค้าครับ

เมื่อยละ พรุ่งนี้เด๋วมาต่อ หุ้นคอมโม  หุ้นโกรทผมไม่ถนัดมาก ถ้าอยากเรียนรู้หุ้นโกรท แนะนำติดต่อ หาความรู้จากคุณ คเชนทร์ครับ

พี่ invisible hand เพราะเนื้อหาแน่นกว่าผมมาก  ยังต้องเรียนอีกมากทั้ง FF model   ///และโมเดลธุกริจอื่นๆ


วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

“วิธีการลงทุนและเทคนิคการปรับพอร์ตของ” : พี่โจ ลูกอีสาน



“วิธีการลงทุนและเทคนิคการปรับพอร์ตของ” : พี่โจ ลูกอีสาน

“วิธีการลงทุนและเทคนิคการปรับพอร์ตของ” : พี่โจ ลูกอีสาน



วิธีการเรียบง่ายที่ผมใช้ทำมาหากินแทบทุกครั้ง จะเป็นอย่างนี้ครับ..
1. หา P/E ที่เหมาะสมของแต่ละบริษัท บริษัทไหนที่คาดการง่ายหน่อย กำไรโตเรื่อยๆ ปันผลดี พวกนี้จะ P/E สูงเหมือนพวกค้าปลีก โรงพยาบาล เป็นต้น ส่วนพวกที่ด้อยกว่า เช่น พวกรับเหมา ก็ให้ P/E ต่ำๆ
2. หา P/E ในอนาคต(อันใกล้)ของบริษัทที่เราสนใจ นี่หมายความว่าเราต้องประมาณกำไรของกิจการได้ เราจะทำได้ต้องหาข้อมูลเพื่อประเมินกำไรให้ผิดพลาดน้อยที่สุด
3. หาส่วนต่างของ P/E ที่เหมาะสม และ P/E ที่จะเกิดขึ้นจริง เช่น เราประเมินว่าบริษัทนี้ควรมี P/E 15 เท่า แต่เราประเมินแล้วราคาตลาดวันนี้หรือในอนาคตใกล้ๆนี้ P/E แค่ 7 เท่า นั่นแสดงว่า ราคาตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 50% (มี margin of safety 50%) อย่างนี้น่าสนใจครับ ปกติต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นซัก 30% ผมก็สนใจแล้ว
ผมมีความเชื่ออย่างนี้นะ..
*ระยะยาว หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดเสมอ
*ตลาดเหมือนฤดูกาลที่มีทั้งรุ่งเรืองตกต่ำ หน้าหนาว-หน้าร้อน ขอให้เราเข้าใจและหาประโยชน์จากความจริงข้อนี้
*นักลงทุนเอกของโลกทุกคน เคยผ่านวิกฤติมาแล้วหลายครั้ง หนักหนากว่านี้ก็มี ถ้าหยุดลงทุนก็คงไม่มีวันนี้ แม้แต่ ดร.นิเวศน์ ท่านเริ่มลงทุน 10 ปีที่แล้ว ตอนที่ดัชนีประมาณ 800 จุด ท่านได้ผลตอบแทน 30 เท่า ทั้งที่วันนี้ดัชนีตลาดต่ำกว่า 10 ปีที่แล้ว
*ผมพูดเสมอๆว่า ตรรกะของการทำกำไรจากหุ้นคือ ซื้อถูกขายแพง คำถามต่อไป แล้วเราจะขายได้แพงตอนตลาดเป็นแบบไหน และหากเราจะซื้อของให้ได้ราคาถูก เราจะซื้อได้ตอนที่ตลาดเป็นอย่างไร
*การขายหุ้นและเลิกลงทุนตอนตลาดตกต่ำ เป็นการละเมิดศีลที่สำคัญที่สุดของนักลงทุน vi เพราะนั่นหมายความว่า เราจะไม่มีโอกาสได้กำไรกลับคืนตอนตลาดกลับไปรุ่งเรืองเลย
*มองไปวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า 5 ปี 10 ปีข้างหน้า แล้วทุกอย่างในวันนี้มันจะผ่านไป
*อย่าให้อารมณ์ของตลาด มาหยุดความมุ่งมั่นในการลงทุนของเรา อย่าทำให้เราหมดกำลังใจที่จะทำการบ้าน ศึกษาหาความรู้
*เราลงทุนวันนี้ ไม่ใช่เพื่อให้รวยพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ แต่เพื่อ 10 ปี 20 ปีข้างหน้า
*เราจะรู้ว่าใครแก้ผ้า ก็ตอนน้ำลด
ผมแนะนำครับ..
1. หามูลค่าที่เหมาะสมเสียก่อน พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ
2. ดูราคาในตลาด ว่าสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่เราคำนวณได้
3. ตัดสินใจ ซื้อหรือขาย
ผมมองว่าที่หลักการลงทุน vi เติบโตเด่นได้รับความนิยมขึ้นมา ไม่ใช่เพียงเพราะมีตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่เป็นเพราะความเป็นเหตุเป็นผลของมัน คือหุ้นจะขึ้นจะลงเพราะมีเหตุผลทางธุรกิจ ไม่ใช่หุ้นจะขึ้นเพราะหลายคนบอกว่าจะขึ้น และมันจะลงเพราะหลายคนบอกว่ามันจะลง
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลอย่างเดียว เพราะเป็นคนก็ต้องมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ผมก็ยังเป็น แต่ถ้าเราจะเป็น vi ที่ประสบความสำเร็จ เราต้องพิจาณาด้วยเหตุผลธุรกิจเป็นหลักครับ
ส่วนเรื่องการ ซื้อเพิ่ม, cut loss ผมไม่กล้าแนะนำ แต่ผมจำที่ใครคนหนึ่งเคยพูดทำนองว่า ลืมต้นทุนที่ซื้อมา คิดเสียว่าพอร์ตตอนนี้เป็นเท่าไหร่ หุ้นในตลาดตัวไหนน่าซื้อที่สุด ขายไปซื้อตัวนั้น ถ้าเป็นตัวเดิมก็ไม่ต้องทำอะไร
ผมเชื่อว่า มี 2 แรงที่ผลักดันราคาหุ้น
1. กำไร >> เราเรียกรวมว่า พื้นฐาน
2. ปัจจัยด้านจิตวิทยา – อารมณ์ของตลาด
ประเด็นแรก เป็นสิ่งที่นักลงทุนแนว vi ต้องวิเคราะห์อยู่แล้ว แต่ถ้าเข้าใจประเด็นที่สองด้วย ก็จะเพิ่มผลตอบแทนได้อีกครับ ผมตอบไม่ได้ชัดเจนว่า เราจะดูอารมณ์จิตวิทยาของตลาดได้อย่างไร(ยังไม่รู้จริง) แต่ประมาณว่า ถ้าเราเข้าใจอารมณ์ตลาด เรามักจะได้ซื้อหุ้นที่ดี ที่ราคาไม่แพง
เหมือนที่ Graham เปรียบเปรยเป็นนิทาน Mr. Market ครับ นอกจากนั้น เราอาจพิจารณาจิตวิทยาของนักลงทุนในตลาดว่า เค้านิยมหุ้นพิมพ์แบบไหน ในอุตสาหกรรมใดที่กำลังจะฮอต หุ้นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ราคาต่ำหรือราคาสูง เหล่านี้เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้ครับ เราลงทุนแนว vi แต่พิจารณาไว้บ้างก็ไม่เสียอะไร

ผมปรับพอร์ตบ่อยๆครับ เหตุผลมักเป็นอย่างนี้

1. เจอหุ้นตัวที่ดีกว่า แต่ไม่มีเงินก็ต้องขายตัวที่ด้อยที่สุดไป
2. ตัวที่ถือพื้นฐานเปลี่ยน อันนี้แน่นอนก็ต้องขายออก
3. หุ้นขึ้นจนราคาสมเหตุสมผล ผมก็อาจจะขายไปเพิ่มตัวที่ยังต่ำกว่ามูลค่า
4. หุ้นลงผมก็ปรับพอร์ต ขายตัวที่ลงน้อยไปซื้อตัวที่มีอัพไซด์มาก
ผมก็ปรับไปเรื่อยครับ ตามข้อมูลที่ได้รับมา ไม่มีเกณฑ์ตายตัวว่าบ่อยแค่ไหน หรือกี่เปอร์เซนต์ของพอร์ต ตั้งแต่ซื้อหุ้นมายังถือไม่เกิน 3 ปีเลยครับ เฉลี่ยเกือบๆปีประมาณนั้น แต่เห็นด้วยครับว่า ตลาดผันผวน เราสามารถใช้การปรับพอร์ตหาประโยชน์จากความผันผวนนั้นได้
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เราลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ และหุ้น ถ้าตลาดซบเซาหนักๆเราก็ควรย้ายเงินจากกองทุนมาลงหุ้นให้มากขึ้น หรือเปลี่ยนไปถือหุ้นตัวทีมีอัพไซด์สูงกว่า หากตลาดเป็นขาขึ้น หาหุ้นลงทุนได้ยาก อาจจะต้องเปลี่ยนไปถือตัวที่ defensive มีปันผลเยอะหน่อยๆ ประมาณนี้ครับ
ระยะเวลาที่ถือหุ้น สั้นที่สุดนี่จำได้ว่าประมาณ 1 อาทิตย์ครับ ซื้อแล้วขึ้นไปประมาณ 30% ผมก็ขายซิครับ เพราะผมหวังผลตอบแทนแค่นั้น ส่วนยาวนี่ไม่แน่ใจครับ ประมาณ 2 ปี ที่จริง ประเด็นเรื่องเวลาการถือครองหุ้นไม่น่าจะเป็นประเด็นสำคัญ คำถามที่สำคัญกว่าคือ ราคาเหมาะสมกับพื้นฐานหรือยัง และการถือหุ้นนานๆก็มีผลเสียนะครับ เช่น เราจะเฉื่อยชา ผูกผัน เกิดความลำเอียง รักหุ้นตัวเอง
และถ้ามองในแง่ผลตอบแทน ดูตัวเลขนี้ครับ
*หุ้นตัวแรก เราซื้อผ่านไป 1 ปี ขายที่ราคาเป้าหมายได้กำไร 60% ทั้งปีได้กำไร 60%
*หุ้นตัวที่ 2 เราซื้อผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมาย ขายออกไปซื้อหุ้นตัวที่ 3 ผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมายอีก รวมทั้งปีได้ผลตอบแทน 96%
หุ้นตัวแรกให้ผลตอบแทนมากที่สุด แต่ถ้าให้เลือกผมขอซื้อหุ้นตัวที่ 2-3 ดีกว่า นี่คงคล้ายกับ turnover rate ในงบดุลครับ ยิ่งหมุนมากกำไรก็ยิ่งมาก(เรายังไม่พูดถึงความเสี่ยงนะ)
ผมติดตามพื้นฐานของหุ้นที่อยู่ใน watch list เสมอๆ
ผมมีหุ้นที่ติดตามผลกำไรทุกไตรมาส ประมาณ 80 ตัว และหุ้นที่ติดตามแบบห่างๆอีกประมาณ 120 ตัว รวมๆก็ครึ่งนึงของตลาดพอดี
ผมเชื่อว่า ยิ่งติดตามมาก เราก็ยิ่งรู้พื้นฐานมากขึ้น ขอบข่ายความรู้มากขึ้น ยิ่งติดตามมาก โอกาสที่จะเจอช้างเผือกก็สูง เวลามีข่าวสารเข้ามาเราก็รู้ทันทีว่า เป็นข่าวดีหรือไม่ดี ซื้อหรือไม่ซื้อ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาข้อมูลอีก
ผมอ่านหนังสือพิมพ์หุ้นเกือบทุกฉบับ ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ อ่านงานวิจัยของโบรคเกอร์ อีไฟแนนซ์ ข่าวตลาด และ tvi ประมาณนี้ครับ อ่านแบบสแกน ถ้าเจอหุ้นที่น่าสนใจจะอ่านแบบละเอียด ไม่อย่างนั้นต้องใช้เวลาเยอะ
คือถ้าเราติดตามข่าวสารบ่อยๆเราจะรู้ว่าแหล่งข่าวไหนที่เราควรจะอ่านครับ
ที่จริงใช้เวลาวันละ 2 ชม. ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการลงทุนแบบมุ่งเน้น(ผลตอบแทน) หรือวันละ 1 ชม. สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนหุ้นแบบการออม
ผมเคยทำงานประจำมาก่อน ยอมรับว่ามีข้อจำกัดเยอะกว่าคนที่ลงทุนเต็มเวลา และไม่สนับสนุนให้ทุกคนลาออกเพียงเพื่อจะได้มีเวลาหาข้อมูล แต่เราก็ควรให้เวลากับการลงทุนตามสมควร
เพราะการใช้เวลาวันละเล็กละน้อยหลังเลิกงาน หาข้อมูล อาจจะเปลี่ยนสถานะภาพทางด้านการเงิน เปลี่ยนชีวิตคนๆนึงได้เลย ในขณะที่ถ้าทำงานประจำอย่างเดียวมีโอกาสน้อยกว่ามาก
ผมยังจำได้ดร.นิเวศน์เคยเขียนบทความทำนองว่า เราใช้เวลาส่วนใหญ่วันๆไปกับเรื่องที่ไม่สำคัญ และให้เวลาน้อยเกินไปกับเรื่องทีสำคัญที่สุด



ปล. อ่านมาหลายครั้ง ชอบครับใช้ได้จริงด้วย มีข้อแม้ว่า วิธีการลอกได้ แต่ห้ามลอกหุ้นกันเด็ดขาดครับเพราะ ทุกคนลงทุนก็หวังกำไรครับ เงินในกระเป๋าของคุณ คือสิ่งที่อีกคนต้องการ เพราะตลาดทุนไม่ใช่เครื่องผลิดเงินอย่างเดียว แต่อีกด้านก็เป็นเครื่องดูดเงินด้วยนะครับ